xs
xsm
sm
md
lg

จาก “เมืองพัทยา” ชายฝั่งตะวันออกถึง “เมืองด่านนอก” ที่ชายแดนใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
รายงานโดย...ไม้  เมืองขม
--------------------------------------------------------------------------------
 
อ่านข่าว และเห็นภาพตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นสถานบริการ หรือสถานบันเทิงใน “เมืองพัทยา” ที่ จ.ชลบุรี อย่างคึกคัก หลังจากที่ “สื่อนอก” นำเรื่องอันสุดแสนอื้อฉาวคาวโลกีย์ไปตีแผ่ จนชื่อเสียงประเทศไทยดังกระฉ่อนขจรขจายไปทั่วโลก
 
เรื่องนี้ทำเอาแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ก็นั่งไม่ติด แถมแสดงอาการหงุดหงิดต่อข่าวที่เป็นความเสื่อมเสียของประเทศนี้ ทั้งๆ ที่คนไทยรู้กันทั้งประเทศมานานแล้วว่า เมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาทุกวันนี้เขา “ขาย อะไรกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องของ “เซ็กซ์ และเฉียดฉิวในข้อหา “ค้ามนุษย์” ซึ่งเป็นข้อหาร้ายแรงที่ต่างชาติกล่าวหาประเทศไทยมาตลอดเอาเสียด้วย
 
การออกมาเทกแอ็กชันของตำรวจที่เมืองพัทยานั้น สามารถจับกุมหญิงสาวอาบน้ำโชว์ฝรั่งได้แค่ 2 ราย นั่นก็พอเป็นน้ำจิ้มว่า ได้มีการตรวจสอบแล้ว และปรากฏว่า ไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายมากมายเหมือนกับที่สื่อฝรั่งไปไปตีพิมพ์ ซึ่งเรื่องเมืองอื้อฉาวของเมืองพัทยาก็คงจะจบลงดื้อๆ แบบนี้
 
นั่นเป็นเรื่องราวจากเมืองท่องเที่ยวภาคตะวันออก เมื่อหันมามองภาคใต้ก็พบว่า มีเมืองท่องเที่ยวชื่อดังที่ตั้งอยู่ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งน่าจะมีเรื่องราวฉาวโฉ่ในเรื่อง “เซกซ์” ไม่แพ้กัน
 
แถมในวันนี้ยังน่าจะมีสภาพเป็น “เมืองนอกกฎหมาย” เอาเสียด้วย เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ถูก “ทุนต่างด้าวถือครอง” แล้ว ยังเป็นเมืองที่มี “คนต่างด้าว” เข้าไปอาศัยขุดทองแทบจะเกือบทั้งสิ้น
 
เมืองที่ว่านี้ก็คือ “เมืองด่านนอกหรือ “เมืองจังโหลน ที่เป็นที่นิยมเรียกขานกันจนติดปาก อันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ถือเป็นเมืองหน้าด่านชายแดนสำคัญ และมีชื่อเสียงของไทย เนื่องจากอยู่ติดรัฐเคดาห์ หรือรัฐเกอดะฮ์ของประเทศมาเลเซีย
 
เมืองชายแดนแห่งนี้ถูกปล่อยให้เติบโตแบบไร้ระบบระเบียบมาเนินนาน จนอาจจะกลายเป็นเมืองที่ใครอยากจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องใส่ใจต่อกฎหมายบ้านเมือง
 

 
ในเวลานี้มี 2 เรื่องราวที่อยากรายงานให้ทราบเพื่อ “เรียกแขก ในเบื้องต้นก่อน ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะชี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นว่าเรื่องราวอิทธิพลของที่นี่เป็นอย่างไร และเจ้าหน้าที่อยู่กันได้อย่างไร
 
เรื่องที่ 1 ที่ผ่านมาพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขามมี “โรงแรม” และ “สถานบันเทิง” หลากหลายรูปแบบเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด 
 
จนประเมินกันว่าเวลานี้น่าจะมีจำนวนห้องพักมากกว่าพื้นที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เสียอีก แต่เชื่อไหมว่า โรงแรมเมืองด่านนอกกลับมีใบอนุญาตที่ถูกต้องไม่ถึง 10 แห่ง ที่เหลืออีกอีกไม่น้อยกว่า 50 แห่ง จึงเป็นโรงแรมที่ผิดระเบียบแบบแผน เช่น ไม่มีบันไดหนีไฟบ้าง ไม่มีที่จอดรถบ้าง อีกทั้งไม่มีอะไรต่อมิอะไรตามที่กฎหมาย หรือระเบียบการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมกำหนดไว้ก็ได้
 
ที่แปลกเอามากๆ ก็คือ ทั้งโรงแรมเก่า และโรงแรมที่สร้างใหม่สามารถเปิดให้บริการได้โดยที่แทบไม่เคยมีการตรวจสอบ ทั้งที่พื้นที่ของ จ.สงขลา ก็มีทั้งฝ่ายปกครอง ที่ทำหน้าที่นายทะเบียนโรงแรม และมีตำรวจไว้เพื่อจับกุมผู้ที่ทำผิดกฎหมาย
 
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ที่ดินที่ใช้ในการสร้างโรงแรม หรือสถานบันเทิง สถานบริการอื่นๆ ถ้ามีการตรวจสอบจากระวางที่เป็นต้นฉบับของสำนักงานที่ดิน ก็จะพบว่า หลายต่อหลายแห่งผิดปกติ หรือไม่อยู่ในข่ายผิดกฎหมายเอาเสียด้วย
 
ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของ “คนต่างด้าว” ซึ่งที่เมืองด่านนอก นี่คงต้องจัดว่ามีมากที่สุด
 
เนื่องเพราะในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม แม้จะจัดว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กๆ แต่กลับมีหญิงต่างด้าวอาศัยอยู่กันอย่างกลาดเกลื่อน เอาแค่เดินกวาดสายตาไปรอบๆ เมืองก็น่าจะประเมินได้แล้วว่า คนที่ปักหลักอาศัยอยู่ในเมืองด่านนอกเกือบทั้งหมดเป็นหญิงสาวชาวจีน ที่เหลือก็ผสมผสานกันระหว่างหญิงสาวชาวลาว พม่า เขมร และสัญชาติอื่นๆ
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่ของหญิงสาวต่างด้าวสายเลือดมังกรกว่า 20,000 ชีวิต จะทำงานอยู่ในสถานที่ที่มักแปะป้ายไว้ด้านหน้าว่า “คาราโอเกะ” และ “นวดแผนโบราณ รวมถึงสถานบันเทิงในหลากรูปแบบ
 
ที่ต้องนับว่าผิดสังเกตมาก แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกของบรรดาเจ้าหน้าที่ก็คือ บ้านเช่า หรือบ้านพักอาศัยแห่งมีรายชื่อผู้คนที่อยู่รวมกันถึงกว่า 200 คนต่อหลังก็มี
 
นากจากนี้แล้ว แม้หญิงสาวต่างด้าวเหล่านั้นแทบจะทุกคนใช้หนังสือเดินทางถูกต้อง แต่อาชีพที่มีการขออนุญาตทำงานต่อทางราชการมากที่สุดก็คือ “แม่บ้าน ซึ่งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยไหนเคยสงสัยเลยว่า บ้านหลังหนึ่งๆ ทำไมมีแม่บ้านได้ถึงกว่า 200 คน คงไม่ต้องบอกว่าได้ช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูอะไรหรอก เอาแค่เดินนั่งหัวไม่ชนกันในบ้านก็น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
 
เอ๊ะ หรือว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เดินทางมาเพื่อประกอบอาชีพแม่บ้านอะไรหรอก แต่แท้จริงแล้วมีเป็น “คุณโสฯ” ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เมืองด่านนอก ก็อาจจะไม่ต่างอะไรจากแหล่ง “ค้ามนุษย์” ขนาดใหญ่ เพียงแต่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมองยังไม่เห็น
 
ส่วนจะมีอะไรไปปิดบังสายตาของบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เรื่องนี้มีเจ้าของธุรกิจบันเทิงในพื้นที่เคยเปิดปากพูดไว้ว่า ที่เมืองด่านนอก เป็นที่รับรู้กันของผู้ประกอบการว่า จะต้อง “ส่งส่วย” ให้กว่า 20 หน่วยงาน
 
สำหรับหลักการคิดค่าใช่จ่ายก็ไม่มีอะไรยุ่งยากนัก ราคาประเมินที่ 1,000 บาท/หัว น่าจะเป็นมาตรฐานในเวลานี้ อย่างสังกัดไหนมีคนในสังกัด 10,000 คน ก็จะต้องนำส่งราว 1 ล้านบาทต่อเดือน เป็นต้น
 
ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม่เมื่อด่านนอกจึงเป็นแหล่ง “ทำเลทอง ที่เจ้าหน้าที่ในแต่ละหน่วยงานหมายปองอยากเข้าไปอยู่แบบไม่ค่อยจะยอมย้ายไปไหน
 
นี่เป็นเพียงเรื่องราวเล่าขานใน 2 ประเด็นที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับธุรกิจท่องเที่ยว และสถานบันเทิงเท่านั้น ยังมิพักได้พูดถึงปัญหายาเสพติด สินค้าเถื่อนข้ามพรมแดน หรือแม้แต่ธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ
 
มีเรื่องราวจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองด่านนอกบอกเล่าให้ฟังว่า ในเขตเมืองด่านนอก บางหน่วยงานใช้วิธีแบ่งพื้นที่ หรือให้มีการเปิดประมูลพื้นที่การกำกับดูแลกันเป็นซอยๆ เลยก็มี
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการแต่งตั้งนายตำรวจระดับผู้กำกับการทั่วประเทศ ตำแหน่ง ผกก.ในพื้นที่ของ อ.สะเดา เกือบจะทุกครั้งไม่ถูกระบุไว้ให้อยู่ในโผรวม แต่มักจะไปปรากฏอยู่ในโผ “เด็กนาย” เสียมากกว่า
 
และที่แปลกไปกว่านั้นคือ ณ วันนี้ตำแหน่ง “ผกก.สภ.สะเดา” จ.สงขลา ถูกทิ้ง “ว่างเว้น” มาเป็นเวลานานมากแล้ว มีเพียงนายตำรวจระดับ “รอง ผบก.” ถูกส่งสลับกันแวะเวียนไปทำหน้าที่รักษาการเท่านั้น ซึ่งคงเป็นเครื่องชี้แสดงให้เห็นชัดว่า ตำแหน่งนี้ต้องมีนัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
 
ถ้าจะบอกว่า เมืองด่านนอกในวันนี้เป็นเหมือนเมืองในหนังคาวบอยของฮอลลีวูดในอดีตก็คงจะไม่ผิดนัก ?!?!
 
เห็น คสช.ให้ความสำคัญในการจัดระเบียบบ้านเมือง ตั้งแต่เรื่องคิวรถ ชายหาด ตลาดนัด ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสิวๆ จึงอยากจะบอกแก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หันมาสั่งการให้มีการจัดระเบียบหัวเมืองชายแดนอย่าง “เมืองด่านนอก” กับเขาบ้าง
 
หรือจะรอให้ “สื่อนอก” ได้มาเขียนเรื่องราวถึง “เมืองด่านนอก” เสียก่อนจึงจะหันมามองด้วยสายตาแบบเอาจริงเอาจัง
 

กำลังโหลดความคิดเห็น