ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ดังกระหึ่มอีกภูเก็ต หลังมีการแช่ข้อมูลผ่านทางแฟนเพจ “องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน” ในหัวข้อ ภูเก็ต : ทำไมคอรัปชันเยอะจัง พร้อมระบุวิธีการเรียกเก็บสวนของแต่ละหน่วยงาน กว่า 12 หน่วยงาน โดยลงชื่อ ดร. มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2560 ขณะที่พ่อเมืองภูเก็ต เต้นแจงไม่เคยรับเงินส่วย หรือมอบหมายผู้ใดไปรับเงินส่วยจากสถานประกอบการทุกประเภท พร้อมสั่งตั้งกรรมการสอบด่วน
จากกรณีมีการโพสต์ข้อความ ภูเก็ต : ทำไมคอรัปชันเยอะจัง ผ่านทางแฟนเพจองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมบรรยายถึงพฤติกรรมการเรียกเก็บส่วนจากร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบการ รวมถึงชาวต่างชาติของหน่วยงานต่างๆ ที่มีมากกว่า 12 หน่วยงาน โดยมีใจความระบุว่า คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ และผมได้เดินทางมาภูเก็ตเพื่อพบกับคนสามกลุ่ม คือ พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจนักลงทุน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ทำให้ได้รับฟังข้อมูลสารพัดการโกง รีดไถ ข่มเหงรังแก และการฉกฉวยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น แม้จะรู้ดีว่าพฤติกรรมชั่วร้ายแบบนี้มีทั่วประเทศ แต่จากข้อมูล และหลักฐานจำนวนมากแล้วพูดได้ว่าที่นี่มีมากและทำกันโฉ่งฉ่างแบบไม่เกรงกลัวใคร
ส่วยร้านค้า ร้านอาหาร
ทุกวันนี้มีคนมาเก็บส่วยรายเดือนจากร้านค้าร้านอาหาร โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก 12 หน่วยงาน ได้แก่ ตำรวจท้องที่ ตำรวจท่องเที่ยว ตม. กองปราบ ตชด. สืบฯ จังหวัด สืบฯ กอง 5 ตำรวจภาค 8 หน่วยป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แรงงาน อบต.หรือเทศบาล และผู้ว่าฯ ส่วนเหตุที่ใช้ข่มขู่ หรือจับกุมนั้นมีมากแต่ข้อหายอดฮิตคือ การใช้แรงงานต่างด้าว
พวกเขาจะ “ตีเมืองขึ้น” เพื่อโชว์อำนาจก่อน โดยจับร้านค้า หรือจับคนงานไปโรงพักแต่มักจบด้วยการเรียกเงินแทนการดำเนินคดี เช่น จับลูกจ้างชาวพม่าจะเรียกหัวละ 2 หมื่นบาท แล้วปล่อยตัว จากนั้นจะเปิดเจรจาเก็บส่วยรายเดือนๆ ละ 1 พันบาทต่อร้าน บางพื้นที่อาจคิดเหมา เช่น ในซอยนี้มี 8 ร้านค้าใหญ่ก็ให้ไปลงขันกันมาให้ได้ 2 หมื่นบาทอย่างนี้ก็มี
แม่ค้าคนหนึ่ง เล่าว่า เคยโดนคนของกองปราบจับเด็กเสิร์ฟไปดำเนินคดี และจ่ายค่าปรับที่ศาลแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว และเรียกเงิน 8 พันบาท เธอต่อรองจ่ายไป 4 พันบาท ลูกจ้างเธอจึงได้รับอิสระมา
วิธี “เก็บส่วย” จะมีคนมาเดินเก็บสายใครสายมัน เช่น พวกที่อ้างว่าเป็นคนของผู้ว่าฯ จะใช้ อส. ถ้าเป็นของตำรวจ มักใช้คนนอกมาเดินเก็บ บางคนมาเก็บในนามสองหน่วยงานก็มี ซึ่งแน่นอนว่าหลังจ่ายส่วยแล้วจะไม่มีการมาไล่จับกันอีก เว้นแต่บางทีเขาจะมาบอกตรงๆ ว่า ช่วงนี้เบื้องบนสั่งให้เข้มงวดขอให้ร้านค้าหยุดไปก่อนหรือมา “ขอจับ” เพื่อทำสถิติไว้บ้าง
เมื่อถามว่าทำไมไม่ไปขึ้นทะเบียนคนงานต่างชาติให้ถูกต้อง คำตอบคือ ค่าเท่ากันเพราะแค่เจ้าหน้าที่แกล้งมาจอดรถ หรือมายืนให้เห็น คนงานก็กลัววิ่งหนีทิ้งงาน ทิ้งลูกค้าหมด คนงานพกสำเนาใบอนุญาตก็ไม่ได้ บางครั้งเรียกคนงานมาตรวจเอกสารก็แกล้งให้นั่งตากแดดเป็นชั่วโมงๆ แล้วปล่อยตัวไปเฉยๆ ก็มี
คนงานนั่งรถสองแถวไปเที่ยวในเมือง หรือไปต่างอำเภอก็ผิดแล้วเพราะออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาต ที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็คือ เวลาไปจดทะเบียนเขาให้เลือกว่าเป็น “กรรมกร หรือคนทำงานบ้าน” เท่านั้น ดังนั้น การทำงานในร้านอาหาร หรือโรงแรมไม่ว่าตำแหน่งใดจึงถือว่าผิดเงื่อนไข
ส่วยนักธุรกิจ และชาวต่างชาติ
ที่ภูเก็ต นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจจำนวนมากไม่แพ้กัน ทั้งในธุรกิจโรงแรม หมู่บ้านจัดสรร นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ บริการท่องเที่ยว ผับบาร์ ร้านอาหาร ศูนย์การค้า สอนดำน้ำ สอนภาษา หรือแม้แต่ให้เช่ารถเช่ามอเตอร์ไซค์ เหตุนี้จึงมีคนต่างชาติเข้ามาเป็นลูกจ้างทำงานในธุรกิจต่างๆ อยู่เต็มเกาะมีทั้งถูก และผิดกฎหมาย
สำหรับธุรกิจโรงแรม ประเมินกันว่า ทั่วประเทศมีโรงแรมเถื่อนอยู่ร้อยละ 65 แต่ที่ภูเก็ตจะมีมากถึงร้อยละ 85 (ผมเคยเขียนไว้เมื่อ 30/11/59) โรงแรมจำนวนมากยังถือเอกสารสิทธิที่ดินที่มีปัญหา แย่งที่ทำกินชาวบ้าน หรือบุกรุกที่สาธารณะ มีโรงแรมเก่าแก่รายหนึ่งถึงขนาดเอาที่สัมปทานเหมืองแร่ของรัฐมาออกโฉนดได้มากถึง 600 ไร่ และเป็นที่รู้กันว่าโรงแรมที่ก่อสร้างหลังปี 2554 เกือบทั้งหมดล้วนมีความสูงของอาคารที่ฝ่าฝืนประกาศผังเมืองฉบับใหม่ แต่ไม่ว่าจะเถื่อน หรือถูกกฎหมายก็ยังมีการหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมบำรุงท้องที่ และภาษีต่างๆ มูลค่านับพันล้านบาทต่อปี ทั้งหมดนี้ทำกันมานานเจ้าหน้าที่ก็รู้เห็นแต่เลือกที่จะรับเงินใต้โต๊ะแล้วปิดหูปิดตากันมาตลอด
เพียงแต่ว่าโรงแรมที่ผิดกฎหมายจะมีเรื่องให้ต้องจ่ายส่วยมากขึ้นเพื่อทำให้ธุรกิจอยู่ได้ และเมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะบังคับให้โรงแรมเหล่านี้ต้องทำให้ถูกต้อง ก็มีข่าวเปิดการเจรจาเรียกเงินรายละประมาณ 2 ล้านบาท เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีแล้ว
มีนักธุรกิจต่างชาติพูดกับผมว่า “อยู่เมืองไทยจะทำถูกกฎหมายเป็นไปไม่ได้ เพราะคนไทยยังจ่ายแต่ฝรั่งต้องจ่ายมากกว่า” เวลาที่พวกเขาไปยื่นเอกสารจดทะเบียนทำธุรกิจ แม้เอกสารครบแต่เรื่องไม่เดินมันจะกองอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถามมากเจ้าหน้าที่ก็หงุดหงิด ในที่สุดใครๆ ก็จ่าย พอจ่ายเงินแล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกโอเค โอเค ยูไปทำงานไปเปิดร้านค้าได้ ไม่มีการพูดถึงเอกสาร ฝรั่งรำคาญก็ยอมตามนั้นแต่ผ่านไปวันดีคืนดีก็จะมีเจ้าหน้าที่มาจับเขาอีกเพราะไม่มีเอกสาร ไม่มีใบอนุญาต
ทุกวันนี้ต่างชาติจึงกลัวเมืองไทยเพราะอะไรก็ต้องจ่ายสินบน ถึงจ่ายแล้วเรื่องก็ไม่จบ และไม่สนใจด้วยว่าจะโดนใครเข้ามาเล่นงานซ้ำอีก
ฝรั่งรายหนึ่งอยู่เมืองไทยมา 18 ปี เคยโดนคนในเครื่องแบบหลายนายบุกมาที่บริษัทของเขาขู่จะจับตัวไปดำเนินคดีที่โรงพัก หากไม่ยอมจ่ายเงิน 6 หมื่นบาท ด้วยความกลัวเขาจึงยอมจ่ายไป 5 หมื่นบาท โดยมีเงื่อนไขว่าต่อไปเขาต้องจ่ายเป็นรายเดือนๆ ละ 5 พันบาท เขายังบ่นให้ฟังอีกว่า ไม่รู้เพราะอะไร 2 ปีนี้คนต่างชาติโดนหนักมาก หรือจะเป็นเพราะรู้กันแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรพวกเขาไม่ได้
จากการสอบถามพบว่า นักธุรกิจอาจต้องจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกสีมากถึง 26 หน่วยงาน เป็นสีกากี เสีย 10 หน่วย และนี่อาจเป็นที่มาของข่าวลือว่าสีกากีหาดป่าตองมีรายได้พิเศษมากถึง 30 ล้านบาทต่อเดือน
เสียงสาปแช่งของชาวบ้าน
ผมยังได้ไปดูสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีการคอร์รัปชันหลายแห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำคลองกะทะ 180 ล้านบาท การสร้างทางจักรยานในสวนหลวง ระยะทาง 4 กม. มูลค่า 14 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เป็นทางทำใหม่เพียง 2 กม. และใช้ถนนเก่ามาตีเส้นทาสีใหม่อีก 2 กม.
“มีวัยรุ่นฝรั่งโดดตึกตายมาแล้วนับสิบรายแล้ว ดูเผินๆ คนคิดว่าเป็นเรื่องของคนคลั่งเมายา แต่เบื้องหลังคือ มีผับบาร์จำนวนมากเห็นแก่ได้ ขายเหล้าผสมยาบ้าเพื่อเรียกลูกค้า เจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครทำอะไรแต่ทุกคนเอาเลือกเอาเงิน โดยไม่สนว่าจะมีคนตาย หรือเสียชื่อเสียงของประเทศอย่างไร” เป็นอีกตัวอย่างความเลวร้าย
ที่เล่ามาบางส่วนนี้คือความทุกข์ของคนภูเก็ต วันนี้มีเพียงมาการบอกเล่าเอาหลักฐานมาให้ดูโดยไม่มีใครกล้าเปิดเผยตัว หรือเป็นพยานให้เพราะกลัวจะได้รับอันตราย แน่นอนว่าในสังคมที่มีคอร์รัปชันรุนแรงเช่นนี้การต่อสู้ของคนในท้องถิ่นตามลำพังเป็นเรื่องยาก
แต่การเอาชนะนั้นมีทางเดียวคือ คนภูเก็ตต้องรวมตัวกันสู้ สู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อศักดิ์ศรีและอนาคตของทุกคน สู้ให้เป็นแบบอย่างของคนไทยทั้งประเทศ เพียงแต่ขอให้รัฐบาลสนับสนุนและปกป้องมิให้พวกเขาถูกอำนาจมืดรังแกกันง่ายๆ เท่านั้นเอง
ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 13 กุมภาพันธ์ 2560 อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้ขณะนี้มีผู้เข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
ขณะที่ นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในส่วนของตนขอยืนยันว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตไม่เคยรับเงินส่วย หรือมอบหมายผู้ใดไปรับเงินส่วย หรือเงินที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจากสถานประกอบการใดๆ ทุกประเภท ไม่ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม” อย่างไรก็ตาม หลังจากมีกระแสข่าวออกมาทางโลกโซเชียล เกี่ยวกับเรื่องการรับส่วน ทางจังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการ และสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดในทุกประเด็นที่ได้ปรากฏในข้อความทั้งหมด ทั้งนี้ จังหวัดจะนัดประชุมคณะกรมการจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน พร้อมทั้งจะได้ประสานขอข้อมูลจากผู้เผยแพร่ข้อมูลมาประกอบในการพิจารณาด้วย
นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดภูเก็ตจะดำเนินการทุกอย่างโดยใช้หลักกฎหมาย ทั้งนี้ หากผู้ใดมีเบาะแส หรือหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากสถานประกอบการต่างๆ ให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายโดยเฉียบขาดต่อไป
จากกรณีมีการโพสต์ข้อความ ภูเก็ต : ทำไมคอรัปชันเยอะจัง ผ่านทางแฟนเพจองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมบรรยายถึงพฤติกรรมการเรียกเก็บส่วนจากร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบการ รวมถึงชาวต่างชาติของหน่วยงานต่างๆ ที่มีมากกว่า 12 หน่วยงาน โดยมีใจความระบุว่า คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ และผมได้เดินทางมาภูเก็ตเพื่อพบกับคนสามกลุ่ม คือ พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจนักลงทุน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ทำให้ได้รับฟังข้อมูลสารพัดการโกง รีดไถ ข่มเหงรังแก และการฉกฉวยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น แม้จะรู้ดีว่าพฤติกรรมชั่วร้ายแบบนี้มีทั่วประเทศ แต่จากข้อมูล และหลักฐานจำนวนมากแล้วพูดได้ว่าที่นี่มีมากและทำกันโฉ่งฉ่างแบบไม่เกรงกลัวใคร
ส่วยร้านค้า ร้านอาหาร
ทุกวันนี้มีคนมาเก็บส่วยรายเดือนจากร้านค้าร้านอาหาร โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก 12 หน่วยงาน ได้แก่ ตำรวจท้องที่ ตำรวจท่องเที่ยว ตม. กองปราบ ตชด. สืบฯ จังหวัด สืบฯ กอง 5 ตำรวจภาค 8 หน่วยป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แรงงาน อบต.หรือเทศบาล และผู้ว่าฯ ส่วนเหตุที่ใช้ข่มขู่ หรือจับกุมนั้นมีมากแต่ข้อหายอดฮิตคือ การใช้แรงงานต่างด้าว
พวกเขาจะ “ตีเมืองขึ้น” เพื่อโชว์อำนาจก่อน โดยจับร้านค้า หรือจับคนงานไปโรงพักแต่มักจบด้วยการเรียกเงินแทนการดำเนินคดี เช่น จับลูกจ้างชาวพม่าจะเรียกหัวละ 2 หมื่นบาท แล้วปล่อยตัว จากนั้นจะเปิดเจรจาเก็บส่วยรายเดือนๆ ละ 1 พันบาทต่อร้าน บางพื้นที่อาจคิดเหมา เช่น ในซอยนี้มี 8 ร้านค้าใหญ่ก็ให้ไปลงขันกันมาให้ได้ 2 หมื่นบาทอย่างนี้ก็มี
แม่ค้าคนหนึ่ง เล่าว่า เคยโดนคนของกองปราบจับเด็กเสิร์ฟไปดำเนินคดี และจ่ายค่าปรับที่ศาลแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว และเรียกเงิน 8 พันบาท เธอต่อรองจ่ายไป 4 พันบาท ลูกจ้างเธอจึงได้รับอิสระมา
วิธี “เก็บส่วย” จะมีคนมาเดินเก็บสายใครสายมัน เช่น พวกที่อ้างว่าเป็นคนของผู้ว่าฯ จะใช้ อส. ถ้าเป็นของตำรวจ มักใช้คนนอกมาเดินเก็บ บางคนมาเก็บในนามสองหน่วยงานก็มี ซึ่งแน่นอนว่าหลังจ่ายส่วยแล้วจะไม่มีการมาไล่จับกันอีก เว้นแต่บางทีเขาจะมาบอกตรงๆ ว่า ช่วงนี้เบื้องบนสั่งให้เข้มงวดขอให้ร้านค้าหยุดไปก่อนหรือมา “ขอจับ” เพื่อทำสถิติไว้บ้าง
เมื่อถามว่าทำไมไม่ไปขึ้นทะเบียนคนงานต่างชาติให้ถูกต้อง คำตอบคือ ค่าเท่ากันเพราะแค่เจ้าหน้าที่แกล้งมาจอดรถ หรือมายืนให้เห็น คนงานก็กลัววิ่งหนีทิ้งงาน ทิ้งลูกค้าหมด คนงานพกสำเนาใบอนุญาตก็ไม่ได้ บางครั้งเรียกคนงานมาตรวจเอกสารก็แกล้งให้นั่งตากแดดเป็นชั่วโมงๆ แล้วปล่อยตัวไปเฉยๆ ก็มี
คนงานนั่งรถสองแถวไปเที่ยวในเมือง หรือไปต่างอำเภอก็ผิดแล้วเพราะออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาต ที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็คือ เวลาไปจดทะเบียนเขาให้เลือกว่าเป็น “กรรมกร หรือคนทำงานบ้าน” เท่านั้น ดังนั้น การทำงานในร้านอาหาร หรือโรงแรมไม่ว่าตำแหน่งใดจึงถือว่าผิดเงื่อนไข
ส่วยนักธุรกิจ และชาวต่างชาติ
ที่ภูเก็ต นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจจำนวนมากไม่แพ้กัน ทั้งในธุรกิจโรงแรม หมู่บ้านจัดสรร นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ บริการท่องเที่ยว ผับบาร์ ร้านอาหาร ศูนย์การค้า สอนดำน้ำ สอนภาษา หรือแม้แต่ให้เช่ารถเช่ามอเตอร์ไซค์ เหตุนี้จึงมีคนต่างชาติเข้ามาเป็นลูกจ้างทำงานในธุรกิจต่างๆ อยู่เต็มเกาะมีทั้งถูก และผิดกฎหมาย
สำหรับธุรกิจโรงแรม ประเมินกันว่า ทั่วประเทศมีโรงแรมเถื่อนอยู่ร้อยละ 65 แต่ที่ภูเก็ตจะมีมากถึงร้อยละ 85 (ผมเคยเขียนไว้เมื่อ 30/11/59) โรงแรมจำนวนมากยังถือเอกสารสิทธิที่ดินที่มีปัญหา แย่งที่ทำกินชาวบ้าน หรือบุกรุกที่สาธารณะ มีโรงแรมเก่าแก่รายหนึ่งถึงขนาดเอาที่สัมปทานเหมืองแร่ของรัฐมาออกโฉนดได้มากถึง 600 ไร่ และเป็นที่รู้กันว่าโรงแรมที่ก่อสร้างหลังปี 2554 เกือบทั้งหมดล้วนมีความสูงของอาคารที่ฝ่าฝืนประกาศผังเมืองฉบับใหม่ แต่ไม่ว่าจะเถื่อน หรือถูกกฎหมายก็ยังมีการหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมบำรุงท้องที่ และภาษีต่างๆ มูลค่านับพันล้านบาทต่อปี ทั้งหมดนี้ทำกันมานานเจ้าหน้าที่ก็รู้เห็นแต่เลือกที่จะรับเงินใต้โต๊ะแล้วปิดหูปิดตากันมาตลอด
เพียงแต่ว่าโรงแรมที่ผิดกฎหมายจะมีเรื่องให้ต้องจ่ายส่วยมากขึ้นเพื่อทำให้ธุรกิจอยู่ได้ และเมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะบังคับให้โรงแรมเหล่านี้ต้องทำให้ถูกต้อง ก็มีข่าวเปิดการเจรจาเรียกเงินรายละประมาณ 2 ล้านบาท เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีแล้ว
มีนักธุรกิจต่างชาติพูดกับผมว่า “อยู่เมืองไทยจะทำถูกกฎหมายเป็นไปไม่ได้ เพราะคนไทยยังจ่ายแต่ฝรั่งต้องจ่ายมากกว่า” เวลาที่พวกเขาไปยื่นเอกสารจดทะเบียนทำธุรกิจ แม้เอกสารครบแต่เรื่องไม่เดินมันจะกองอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถามมากเจ้าหน้าที่ก็หงุดหงิด ในที่สุดใครๆ ก็จ่าย พอจ่ายเงินแล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกโอเค โอเค ยูไปทำงานไปเปิดร้านค้าได้ ไม่มีการพูดถึงเอกสาร ฝรั่งรำคาญก็ยอมตามนั้นแต่ผ่านไปวันดีคืนดีก็จะมีเจ้าหน้าที่มาจับเขาอีกเพราะไม่มีเอกสาร ไม่มีใบอนุญาต
ทุกวันนี้ต่างชาติจึงกลัวเมืองไทยเพราะอะไรก็ต้องจ่ายสินบน ถึงจ่ายแล้วเรื่องก็ไม่จบ และไม่สนใจด้วยว่าจะโดนใครเข้ามาเล่นงานซ้ำอีก
ฝรั่งรายหนึ่งอยู่เมืองไทยมา 18 ปี เคยโดนคนในเครื่องแบบหลายนายบุกมาที่บริษัทของเขาขู่จะจับตัวไปดำเนินคดีที่โรงพัก หากไม่ยอมจ่ายเงิน 6 หมื่นบาท ด้วยความกลัวเขาจึงยอมจ่ายไป 5 หมื่นบาท โดยมีเงื่อนไขว่าต่อไปเขาต้องจ่ายเป็นรายเดือนๆ ละ 5 พันบาท เขายังบ่นให้ฟังอีกว่า ไม่รู้เพราะอะไร 2 ปีนี้คนต่างชาติโดนหนักมาก หรือจะเป็นเพราะรู้กันแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรพวกเขาไม่ได้
จากการสอบถามพบว่า นักธุรกิจอาจต้องจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกสีมากถึง 26 หน่วยงาน เป็นสีกากี เสีย 10 หน่วย และนี่อาจเป็นที่มาของข่าวลือว่าสีกากีหาดป่าตองมีรายได้พิเศษมากถึง 30 ล้านบาทต่อเดือน
เสียงสาปแช่งของชาวบ้าน
ผมยังได้ไปดูสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีการคอร์รัปชันหลายแห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำคลองกะทะ 180 ล้านบาท การสร้างทางจักรยานในสวนหลวง ระยะทาง 4 กม. มูลค่า 14 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เป็นทางทำใหม่เพียง 2 กม. และใช้ถนนเก่ามาตีเส้นทาสีใหม่อีก 2 กม.
“มีวัยรุ่นฝรั่งโดดตึกตายมาแล้วนับสิบรายแล้ว ดูเผินๆ คนคิดว่าเป็นเรื่องของคนคลั่งเมายา แต่เบื้องหลังคือ มีผับบาร์จำนวนมากเห็นแก่ได้ ขายเหล้าผสมยาบ้าเพื่อเรียกลูกค้า เจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครทำอะไรแต่ทุกคนเอาเลือกเอาเงิน โดยไม่สนว่าจะมีคนตาย หรือเสียชื่อเสียงของประเทศอย่างไร” เป็นอีกตัวอย่างความเลวร้าย
ที่เล่ามาบางส่วนนี้คือความทุกข์ของคนภูเก็ต วันนี้มีเพียงมาการบอกเล่าเอาหลักฐานมาให้ดูโดยไม่มีใครกล้าเปิดเผยตัว หรือเป็นพยานให้เพราะกลัวจะได้รับอันตราย แน่นอนว่าในสังคมที่มีคอร์รัปชันรุนแรงเช่นนี้การต่อสู้ของคนในท้องถิ่นตามลำพังเป็นเรื่องยาก
แต่การเอาชนะนั้นมีทางเดียวคือ คนภูเก็ตต้องรวมตัวกันสู้ สู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อศักดิ์ศรีและอนาคตของทุกคน สู้ให้เป็นแบบอย่างของคนไทยทั้งประเทศ เพียงแต่ขอให้รัฐบาลสนับสนุนและปกป้องมิให้พวกเขาถูกอำนาจมืดรังแกกันง่ายๆ เท่านั้นเอง
ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 13 กุมภาพันธ์ 2560 อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้ขณะนี้มีผู้เข้าไปอ่านและแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
ขณะที่ นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในส่วนของตนขอยืนยันว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตไม่เคยรับเงินส่วย หรือมอบหมายผู้ใดไปรับเงินส่วย หรือเงินที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจากสถานประกอบการใดๆ ทุกประเภท ไม่ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม” อย่างไรก็ตาม หลังจากมีกระแสข่าวออกมาทางโลกโซเชียล เกี่ยวกับเรื่องการรับส่วน ทางจังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการ และสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดในทุกประเด็นที่ได้ปรากฏในข้อความทั้งหมด ทั้งนี้ จังหวัดจะนัดประชุมคณะกรมการจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน พร้อมทั้งจะได้ประสานขอข้อมูลจากผู้เผยแพร่ข้อมูลมาประกอบในการพิจารณาด้วย
นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดภูเก็ตจะดำเนินการทุกอย่างโดยใช้หลักกฎหมาย ทั้งนี้ หากผู้ใดมีเบาะแส หรือหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากสถานประกอบการต่างๆ ให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายโดยเฉียบขาดต่อไป