xs
xsm
sm
md
lg

ถลก “แผนก่อหวอดครั้งใหม่” ของ BRN ที่บรรดา “นายพล” ยังสร้างม่านบังตา “ท่านผู้นำ” / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก

----------------------------------------------------------------------------------------
 
 
ภัยพิบัติน้ำท่วม หรืออุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะในแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดน อันประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว และในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นชัดเจนที่สุดคือ “ทหาร ซึ่งเป็นทหารของกองทัพภาคที่ 4 หรือในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
 
เนื่องเพราะเป็นหน่วยงานที่มีเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลืออย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะทั้งรถ-เรือ กำลังพล ครัวเคลื่อนที่ และที่สำคัญคือ มีงบประมาณ ทั้ง “งบแจ้ง” และ “งบลับ” ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบต่อภัยธรรมชาติ และภัยพิบัติต่างๆ
 
ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า การปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งตัวของ “แม่ทัพภาคที่ 4” อย่าง พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช และ “แม่ทัพน้อยที่ 4” อย่าง พล.ท.วรวุฒิ หมอแก้ว รวมถึงระดับรองแม่ทัพ นายกอง ผบ.พล. ผบ.พัน. และ ผบ.ร้อย ที่ร่วมมือร่วมใจกันลุยน้ำอย่างเต็มที่ สิ่งนี้จะส่งผลในทาง “จิตวิทยา ให้ผู้ที่เป็น “มุสลิมในพื้นที่เห็นถึงความ “จริงใจ” และ “จริงจัง ในการให้ความช่วยเหลือคนในพื้นที่โดยไม่แบ่งแยก ด้วยความเสมอภาค และเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติ หรือศาสนาไหนที่อาศัยอยู่ใต้บรมโพธิสมภารของแผ่นดินไทย
 
อีกทั้งหวังว่าหลังจากที่น้ำลด กองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะมี “แผน” ในการช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ที่เสียหายในพื้นที่เป็นกรณีเร่งด่วน ที่นอกเหนือจากนโยบายของ ครม. เพื่อที่จะทำให้คนในพื้นที่เห็นประโยชน์ของ “กองทัพและของ “ทหาร ที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า อยู่เพื่อสร้างประโยชน์ อยู่เพื่อสร้างความเจริญ ไม่ใช่อยู่เพื่อสร้างเงื่อนไขอย่างที่ “แนวร่วม” ของ “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ทำการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้คนในพื้นที่เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือหน่วยอื่นๆ
 
และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังน้ำลด เสียงระเบิด เสียงปืน และเสียงที่สะท้อนถึงความรุนแรงอื่นๆ อันเป็นหายนะของผู้คนในพื้นที่จะ “เบาบาง ลงอย่างในเวลาที่เกิดน้ำท่วมช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
 
แต่อาจจะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ก็เป็นได้ เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่าที่เสียงระเบิดและเสียงปืนเบาบาลงในห้วงเวลาน้ำท่วม เป็นเพราะแนวร่วมในพื้นที่ก็ถูกน้ำท่วมเหมือนกับชาวบ้าน จึงไม่สามารถปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร และตำรวจอย่างที่เคยทำ อีกทั้งที่ไม่ทำเพราะต้องการให้กองทัพ และทหารได้ให้การช่วยเหลือมวลชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ อันเป็นการ “พักรบชั่วคราว” เพื่อช่วยเหลือมวลชน
 
มีข้อสังเกตสำคัญที่ทำให้แนวร่วมไม่มีการปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่รัฐในห้วงน้ำท่วมคือ ทหาร และตำรวจไม่มีการ “รุกคืบด้วยการตรวจค้นและจับกุม หรือกระทั่ง “วิสามัญ” บรรดาแนวร่วมในพื้นที่ 3 จังหวัด เมื่อขบวนการไม่เกิดความสูญเสีย ก็ย่อมไม่มีการตอบโต้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสถานการณ์ในพื้นที่ “สงครามประชาชนอย่างในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงจะต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจ “ยุทธวิธี” ของบีอาร์เอ็นเสียใหม่ กล่าวคือ ยุทธวิธีที่บีอาร์เอ็นได้ “ปรับเปลี่ยน” และนำมาใช้เพื่อ “แก้เกม หน่วยงานความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
นั่นคือ นับตั้งแต่ ปี 2559 เป็นต้นมา บีอาร์เอ็นได้สลายการ “จัดตั้ง” ในรูปแบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2547 เช่น มีการแบ่งเขตการปกครองเป็น “กัส หรือเป็นเขต เป็นจังหวัด เป็นอำเภอ และมี “อาเยาะ หรือ “อาเจาะ ทำหน้าที่เป็น “แกน ในการควบคุม และสั่งการ
 
เพราะบีอาร์เอ็นรู้แล้วว่า “แผนการ” ตลอดจน “คน ของบีอาร์เอ็นในตำแหน่ง “แกน” หลักๆ นั้น ฝ่ายความมั่นคงได้รับรู้รับทราบกระจ่างหมดแล้ว รวมทั้งมีการ “วิเคราะห์จากระดับ “มันสมอง” ของบีอาร์เอ็นเห็นว่ายุทธวิธีที่ใช้ตั้งแต่ปี 2547 ไม่สามารถที่จะ “เอาชนะรัฐไทย ได้
 
หลังการสลายโครงสร้างในการจัดตั้ง และสลายบุคคลที่เป็นแกน สิ่งที่บีอาร์เอ็นทำในวันนี้คือ การ “เปิดพื้นที่ทุกพื้นที่ เพื่อต้อนรับการเข้ามาของเจ้าหน้าที่ ไม่มีการต่อต้าน และแข็งขืน แต่มีการ “คล้อยตาม เพื่อที่จะทำให้หน่วยงานความมั่นคง “หลงผิด” และวิเคราะห์สถานการณ์ “ผิดพลาด”
 
เพราะถ้ามองในระดับ “พื้นผิว ก็อาจจะสรุปได้ว่า สถานการณ์ดีขึ้น อุดมการณ์ลดลง มวลชนเบื่อหน่าย กองกำลังติดอาวุธอ่อนล้า แล้วจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังจะสงบในไม่ช้า และอาจจะลดการใช้กองกำลังในการควบคุม ตรวจสอบ ตรวจค้น ซึ่งเป็น “เป้าหมาย” ที่บีอาร์เอ็นต้องการ
 
แผนใหม่ของบีอาร์เอ็นคือ ใช้เวลา 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป ด้วยการสร้างมวลชนให้เห็นด้วย และสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยที่บีอาร์เอ็นต้องการ “มวลชน” สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนให้ได้ 1,000,000 ล้านคน ภายใน 15 ปี
 
ในขณะที่ “คนมุสลิม” ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มีอยู่ประมาณ 1,800,000 คน และถ้าสามารถดึงมวลชนไปสนับสนุนแนวทางในการแบ่งแยกดินแดนได้ 1,000,000 คน นั่นหมายถึง “ชัยชนะ” ในการขอ “ประชามติ” ตามที่บีอาร์เอ็นคาดหวัง
 
สิ่งที่บีอาร์เอ็นวางแผนไว้คือ ต้องสร้างกองกำลังติดอาวุธให้ได้ 100,000 คน ซึ่งจะต้องมีกองกำลัง “เยาวชน” หรือ “ทหารเด็ก” อยู่ในนั้นด้วย เพื่อให้สอดคล้องต่อ “เงื่อนไขของสหประชาชาติ”
 
ทั้งนี้ เรื่องมวลชน 1,000,000 คน และกองกำลังติดอาวุธ 100,000 คน ฟังแล้วอาจจะบอกว่าน่าหัวเราะก็จริง เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่หน่วยความมั่นคงต้องอย่าเพิ่งปรามาส เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ที่ชี้ให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่า ความไม่เชื่อและความประมาทนี่เองที่ทำให้ “แผนใบไม้ร่วง และ “จุดดอกไม้ไฟ ของบีอาร์เอ็นประสบผลสำเร็จมาแล้วเมื่อปี 2547
 
วันนี้บีอาร์เอ็นเริ่มต้นในการสร้าง “นักปฏิวัติรุนใหม่” ให้เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ ในขณะที่เรายังงมโข่งอยู่กับการติดตาม “อุสตาสรุ่นเก่า”
 
วันนี้บีอาร์เอ็นรุกเข้าสู่ “สถานศึกษา” ครั้งใหม่ และมีการจัดตั้งเครือข่ายประชาสังคม ชมรม และกลุ่มต่างๆ มากมาย ในขณะที่ฝ่ายข่าวของเรายัง “มองภาพไม่ชัด” และ “เข้าไม่ถึง”
 
ความเปลี่ยนแปลงของบีอาร์เอ็นครั้งนี้ เป็นไปท่ามกลางกองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ขาดนายทหารที่มีความอดทนในการศึกษา ติดตาม สืบค้น เบื้องลึกของบีอาร์เอ็นอย่าง “พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย” และ “พล.อ.สกล ชื่นตระกูล”
 
วันนี้ทั้งแม่ทัพนายกอง โดยเฉพาะบรรดา “นายพล” ในส่วนกลาง จึงไม่เชื่อในแผนการอันร้ายกาจครั้งใหม่ของบีอาร์เอ็น แถมหลายคนยังปรามาสว่า นี่คือเรื่องที่ “เหลวไหล” ที่ “ไม่ควรเสียเวลา” ไปติดตาม
 
ดังนั้น เพียงแค่ห้วงเวลาน้ำท่วม 3-4 สัปดาห์ที่ไม่มีเหตุร้ายที่รุนแรงเกิดขึ้น “ท่านนายพล” ทั้งหลาย ฟากหนึ่งจึงยิ่งเชื่อหัวปักหัวปำว่า การไม่เกิดเหตุรุนแรงแบบรายวันมาจาก “การพูดคุยสันติสุขกับ “กลุ่มมาราปาตานี” แถมอีกฟากหนึ่งก็ปักใจเชื่อว่า เป็นเพราะที่ผ่านมาได้มีการจับกุม และปราบปราม “ขบวนการภัยแทรกซ้อน ได้ผล จึงทำให้การก่อเหตุร้ายลดลง
 
นี่จึงคือความเชื่อแบบ “ปัจเจกที่เชื่อใน “ชุดความจริง ที่ตนเองมีอยู่
 
ไม่เพียงเท่านั้น “ท่านผู้นำ” ก็ยังจะคล้อยตามเด็กของตนเอง โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้
 
สุดท้ายจึงกลายเป็นข้อสรุปเหมือนเดิมว่า “แนวรบ” ที่ปลายด้ามขวานห้วง 13 ปีที่ผ่านมา จึงยัง “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะต้องรอ “อับดุลเลาะ แวมะนอ” ผู้นำจิตวิญญาณคนใหม่ของบีอาร์เอ็น ซึ่งอาจจะพักรบหลังการสูญเสีย “สะแปอิง บาซอ” ผู้นำจิตวิญญาณคนเก่าจัดทัพให้เสร็จเสียก่อน แล้วทุกอย่างจะปรากฏชัดขึ้น
 
แต่สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงต้องจดจำคือ “สงครามประชาชน” ที่ปลายด้ามขวานจะยังไม่จบง่ายๆ อย่างที่บรรดา “ท่านนายพล” หลายคนเข้าใจ
 
กำลังโหลดความคิดเห็น