xs
xsm
sm
md
lg

โกอินเตอร์! เกษตรกรรุ่นใหม่สตูล โค่นสวนยางหันปลูกกล้วย-มะละกอ รุกตลาดมาเลย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
สตูล - โกอินเตอร์! เกษตรกรรุ่นใหม่ยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ ที่ไร่ อ.การเกษตร (สามพี่น้อง) อ.ควนกาหลง จ.สตูล หลังโค่นสวนยางพารา หันปลูกกล้วย-มะละกอ รุกตลาดมาเลเซีย

วันนี้ (12 ม.ค.) นายกิตินัน นุ้ยเด็น อายุ 35 ปี เกษตรกรยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ หรือเกษตรคนรุ่นใหม่ ตามโครงการของกระทรวงเกษตรฯ ที่ไร่ อ.การเกษตร (สามพี่น้อง) หมู่ที่ 8 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล จัดเป็นกลุ่มเกษตรกรตัวอย่างที่มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากสวนยางพารา ที่มีอายุเกิน 25 ปี มาเป็นไร่กล้วยหอม และกล้วยไข่ สร้างรายได้อย่างงดงาม อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของตลาดในพื้นที่ และประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย มีการสั่งเข้าไปขายเป็นจำนวนมาก
 
นายกิตินัน นุ้ยเด็น
 
หลังจบปริญญาตรี การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กับการเลือกที่จะใช้ชีวิตหลังจบการศึกษาด้วยการทำการเกษตรแบบเต็มรูปแบบร่วม 3 ปี บนพื้นฐานรายได้เฉลี่ยเดือนละ 30,000-50,000 บาท จากการศึกษาหาความรู้ ลงมือทำจนประสบความสำเร็จ สามารถเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างมีความสุข กับไร่มะละกอ และไร่กล้วย พืชเศรษฐกิจที่มีการบริการจัดการจนอยู่ระดับแนวหน้าของจังหวัด นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากสวนยางพารา เป็นไร่กล้วยไข่ ที่มีผลผลิตออกจำหน่ายสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง มีรายได้งดงาม สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

นายกิตินัน เกษตรกรยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ ของ ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล บอกว่า ได้ตัดสินใจโค่นต้นยางพาราที่แก่มากแล้วลง ประกอบกับราคาที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้หันมาทำไร่มะละกอก่อนในเริ่มต้น ซึ่งการดูแลค่อนข้างจะยากกว่า หากเทียบกับการปลูกกล้วย โดยตนได้ลงกล้วย 2,000 ต้น และตั้งเป้าหมายว่าจะลง 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ที่เหลือเป็นยางพารา และสวนปาล์มน้ำมัน แม้มะละกอจะราคาจะดีกว่า แต่กล้วยมีตลาดที่กว้างกว่า ทำให้เกษตรกรมีรายได้เป็นกอบเป็นกำพอสมควร ทันทีที่กล้วยให้ผลผลิตที่พอเหมาะต่อการเก็บ คนเก็บจะทำการฟันต้นทิ้งในทันที เพื่อให้ต้นกล้วยรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ กล้วยไข่ จึงได้กลายเป็นรายได้หลัก
 

 
จากก่อนหน้านี้ มีรายได้หลักจากสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน บนพื้นที่ 20 ไร่ หลังได้ตัดสินใจไถกลบแปลงสวนยางพารา มาปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ และพันธุ์แขกดำ จำนวน 400 ต้น ตามด้วยปลูกกล้วยหอมทอง และกล้วยไข่ 2,000 ต้น ในระยะ 2-3 วัน ก็สามารถให้ผลผลิตออกสู่ตลาดได้มากถึงคราวละ 100 กิโลกรัม ส่งขายในตลาดพื้นที่ จ.สตูล และตลาดในชายแดนเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย โดยราคากล้วยหอม และกล้วยไข่ กิโลกรัมละ 15-20 บาท อยู่ที่ขนาดความสุกงอมของกล้วย โดยกล้วยจะให้ผลผลิตเร็วออกนานถึง 8 เดือน เก็บครั้งละไม่น้อยกว่า 30-100 กิโลกรัม ตลาดกว้าง อนาคตสดใสปลูกดูแลง่าย ในขณะที่มะละกอ ราคาดีกิโลกรัมละ 20-30 บาท ให้ผลผลิตนานถึง 12 เดือน เก็บครั้งละไม่น้อยกว่า 50 กิโลกรัม

เกษตรกรยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ กล่าวว่า หลักสำคัญในการทำการเกษตรคือ ดิน น้ำ และการจัดการ หากดินดีจะปลูกอะไรก็งอกงาม และหากมีน้ำไม่ขาดน้ำก็จะยิ่งดีขึ้น นอกจากนี้ ต้องรู้จักเรียนรู้การบริการจัดการไร่พืชสวนทางการเกษตรของตนเองในการปลูกพืชผักแบบสวนผสม โดยเฉพาะแปลงไร่มะละกอ และกล้วยนี้ จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งการปลูกกล้วยพบว่า เป็นการปลูกได้ง่าย และดูแลง่ายกว่ามะละกอ ตลาดกว้าง แม้ราคาจะถูกกว่ามะละกอ อนาคตสดใส ซึ่งทางแปลงเองวางแผนที่จะมีการปลูกเพิ่มเติมอีก
 

 
ด้าน นายอิสมาแอล หวันตาหวา อายุ 38 ปี เกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่ปรับเปลี่ยนแปลงมาปลูกกล้วยเช่นกัน ยอมรับว่า ขณะนี้รายได้หลักยังเป็นสวนยางพารา และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นไร่กล้วย เพราะดูแล้วว่าน่าจะไปได้สวย เนื่องจากราคากล้วยดิบอยู่ที่ 20 บาท ครั้งหนึ่งให้ผลผลิตมากถึง 10 เครือ/10 กิโลกรัม สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างงดงาม

นายอดินัน นุ้ยเด็น อายุ 64 ปี เกษตรกรชาวสวนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ไร่ อ.การเกษตร (สามพี่น้อง) กล่าวว่า การที่จะเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องกล้าคิด กล้าตัดสินใจ เมื่อยางพาราหมดอายุ ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าควรปรับเปลี่ยนแปลงเป็นพืชอะไรให้เหมาะสมต่อสภาพอากาศ สภาพดิน และการบริหารจัดการ ซึ่งลูกหลานที่เป็นเกษตรกรภายในชื่อ ไร่ อ.การเกษตร (สามพี่น้อง) ถือว่าประสบความสำเร็จในการเป็นยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ นำผลผลิตขายออกสู่ตลาด ที่ตั้งเป็นเรือนเพาะชำพันธุ์ไม้ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัว ในการจำหน่ายผลผลิต เช่น มะละกอฮอลแลนด์ แขกดำ รวมทั้งพันธุ์ และพันธุ์พืชผักสวนครัว ปุ๋ยยาง ปาล์ม และผลไม้ต่างๆ โดยมีตลาดมารับถึงที่
 
นายอดินัน นุ้ยเด็น
 
นายไชยพงศ์ ทะนันชัย นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กล่าวว่า เนื้อที่เพาะปลูกกล้วย ในพื้นที่ จ.สตูล มีทั้งหมด 950 ไร่ โดยมีการปลูกในพื้นที่ อ.ควนโดน มากสุด 420 ไร่ โดยผลผลิตในปี 2559 ได้จำนวน 319 ตัน ซึ่งแปลงของเกษตรกรจุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งตัวอย่างที่มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากสวนยางพารา มาเป็นไร่กล้วย และมะละกอ จากเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หลังหันมาปลูกกล้วย ให้กิโลกรัมละ 20-30 บาทต่อกิโลกรัม มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร มีตลาดรองรับ และกล้วยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้อีก ซึ่งทางเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ พร้อมจะส่งเสริมเป็นจุดเรียนรู้ให้แก่เกษตรกรรายอื่นได้ต่อไป

พร้อมกันนี้ นโยบายส่งเสริมอาชีพโดยเน้นให้เกษตรกรมีรายได้จากหลายแหล่ง ด้วยการทำการเกษตรแบบผสมผสานตามความถนัดของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นประมง ปศุสัตว์ และเกษตร โดยขอให้เกษตรกรที่สวนยางพาราหมดอายุเกิน 25 ปี สนใจจะปรับเปลี่ยนสามารถมาดูแนวทางเลือกได้ หรือมาเรียนรู้ศึกษาดูงานได้ที่จุดเรียนรู้ หรือติดต่อทางเกษตรจังหวัดเพื่อติดต่อดูงานได้
 

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น