ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - พสกนิกรชาวหาดใหญ่ ยังคงซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริแก้ปัญหาอุทกภัย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างยั่งยืน
เมื่อปี 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเนื่องจากในเดือนพฤศจิกายนมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้เกิดอุทกภัยต่อชาวหาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูก บ้านเรือน ตลอดจนชีวิต และทรัพย์สิน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาทโดยมีพระราชดำรัส ดังนี้
“...ที่หาดใหญ่ ที่น้ำท่วมอย่างมากมายเช่นนี้ ท่านผู้ที่อยู่ในท้องที่ก็ได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่ว่าไม่ทันรู้ว่ามันมาอย่างไร ถ้าถามผู้อยู่ที่หาดใหญ่เองทั้งประชาชน ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร และพลเรือน ว่าน้ำนั่นมาอย่างไร สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะไม่ทราบ แม้แต่ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางอุทกศาสตร์ หรือในทางชลประทานก็ไม่ทราบ ความจริง ก่อนที่เกิดเรื่องอย่างนี้ได้เคยไปที่หาดใหญ่แล้ว และเคยไปชี้ว่าควรที่จะทำอะไร แต่ไม่ได้ทำ หรือทำแล้ว ก็ได้สร้างอะไรอื่นๆ ขึ้นมาขวางกิจการที่จะป้องกัน หรือทำให้ไม่เกิดอุทกภัยเช่นนี้ ถ้าไปดูท่านผู้ที่อยู่แถวนั้น และจะกลับบ้าน หรือกลับไปในที่ที่ไปปฏิบัติได้ ให้ไปดูทางด้านตะวันตกของเมือง มีถนน แต่ว่าถนนนั้นพยายามทำขึ้นมาแล้วเป็นคล้ายๆ พนังกั้นน้ำมิให้น้ำเข้าไปในเมือง ก็ไม่ได้ทำ หรือทำแล้วก็ไม่ได้รักษา ทางทิศเหนือ หรือทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีถนนที่กำลังสร้าง หรือสร้างใหม่ๆ กั้นน้ำเป็นเหมือนเขื่อน มิให้น้ำออกจากตัวเมืองได้ จึงทำให้น้ำท่วมในตัวเมืองถึง 2 เมตร 3 เมตร ทีแรกได้ยินข่าวว่าน้ำท่วม 2 เมตร 3 เมตร ไม่เชื่อ ฟังวิทยุ ดูในหนังสือพิมพ์ว่า ทำไมน้ำจะท่วมได้ 2 เมตร 3 เมตร ก็เป็นความจริงว่าท่วม ท่วมรถยนต์ไม่เห็นเลย ท่วมไปหมด คนที่อยู่บ้านชั้นเดียว ก็ต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา อันนี้เป็นความจริง แต่ว่าถ้าหากทำอย่างที่ว่า ซึ่งบอกให้ทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทำพนัง หรือคัน และไม่ทำถนนที่กั้นน้ำเป็นเขื่อน ก็จะทำให้ตัวเมืองหาดใหญ่ไม่เป็นอ่างเก็บน้ำ ที่แปลก โดยมากก็ชอบทำเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อจะเก็บน้ำเอาไว้ใช้ แต่นี่มาทำอ่างเก็บน้ำเอาไว้จม...”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในโอกาสที่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2543
โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทาน ร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไข และบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน และพื้นที่ธุรกิจในเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2531 ได้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรง สร้างความเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากปริมาณน้ำคลองอู่ตะเภาที่ไหลผ่านอำเภอหาดใหญ่ มีระดับสูงล้นตลิ่ง แล้วไหลบ่าเข้าท่วมบริเวณกลางเมืองหาดใหญ่ และพื้นที่ทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง น้ำที่ไหลบ่าเข้ามานั้นได้ท่วมพื้นที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว และท่วมขังมีความลึกมาก
ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของอำเภอหาดใหญ่ และทรัพย์สินของราษฎรได้รับความเสียหายอย่างไม่เคยปรากฏเช่นนี้มาก่อน การแก้ไข และบรรเทาอุทกภัยด้วยวิธีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่คลองอู่ตะเภา และลำน้ำสาขา เพื่อสกัดน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลลงมายังเมืองหาดใหญ่นั้น คงไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีทำเลที่เหมาะสมในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวได้ ดังนั้น การแก้ไข และบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการ น่าจะได้แก่ การขุดลอกคลองระบายน้ำที่มีอยู่ พร้อมกับขุดลอกคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกให้สามารถระบายน้ำ และแบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภาที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาร่วมกับระบบผังเมืองให้มีความสอดคล้อง และได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย
วันที่ 20-23 พฤศจิกายน พ.ศ.2531 เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ทำให้เกิดอุทกภัยในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน ตลอดจนชีวิต และทรัพย์สินของราษฎร พื้นที่ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และพื้นที่เศรษฐกิจใกล้เคียง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสต่อ นายจริย์ ตุลยานนท์ อธิบดีกรมชลประทาน นายสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน กปร. และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ณ อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา ให้พิจารณาดำเนินการแก้ไขและบรรเทาอุทกภัย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
พระองค์ท่านทรงดำรัสไว้ว่า “การแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยด้วยวิธีการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่คลองอู่ตะเภา หรือตามลำน้ำสาขาเพื่อสกัดกั้นน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลมายังเมืองหาดใหญ่นั้นคงไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีทำเลที่เหมาะสมในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวได้เลย ดังนั้น การแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการน่าจะได้แก่ การขุดคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ ให้ทำหน้าที่แบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภา หรือช่วยรับน้ำที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว
นอกจากนั้น หากต้องการที่จะป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน และพื้นที่ธุรกิจให้ได้ผลโดยสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ก่อสร้างคลองระบายน้ำเสร็จ ก็ควรพิจารณาสร้างคันกั้นน้ำรอบบริเวณพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับติดตั้งระบบสูบน้ำออกจากพื้นที่ไม่ให้ท่วมขังตามความจำเป็น ทั้งนี้ ให้พิจารณาร่วมกับระบบของผังเมืองให้มีความสอดคล้อง และได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย” โดยในปี พ.ศ.2532 กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกคลองธรรมชาติ จำนวน 4 สาย รวม 46.900 กม. ได้แก่ คลองอู่ตะเภา คลองอู่ตะเภาแยก 1 คลองอู่ตะเภาแยก 2 และคลองท่าช้าง-บางกล่ำ
ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน 2543 เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน คลองระบายน้ำธรรมชาติที่กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมขังบริเวณเทศบาลนครหาดใหญ่ ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 14,000 ล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสต่อคณะบุคคลที่เข้าเฝ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2543 เกี่ยวกับอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ณ พระราชวังสวนจิตรลดา สรุปความว่า
“เมื่อวันที่ 22-23 พฤศจิกายน 2543 มีน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ มีความเสียหายหลายพันล้านบาท ซึ่งถ้าได้ทำตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2531 ที่ลงทุนนั้นจะได้รับคืนมาหลายเท่าตัว” ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ให้กรมชลประทานดำเนินการโครงการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยในส่วนของโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการขุดคลองระบายน้ำเพิ่ม จำนวน 7 สาย ระยะเวลาดำเนินงาน 7 ปี (2544-2550) โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4,700 ล้านบาท สามารถระบายน้ำได้รวม 1,075 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 มีฝนตกหนักติดต่อกัน 3 วัน เกิดน้ำท่วมตัวเมืองหาดใหญ่ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,623.50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกินศักยภาพของคลองระบายน้ำที่มีอยู่ ทำให้ปริมาณน้ำไหลล้นจากคลองอู่ตะเภา และคลองระบายน้ำ ร.1 เข้าท่วมพื้นที่ของเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และบริเวณใกล้เคียง ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 วัน จึงสามารถระบายน้ำเข้าสู่ภาวะปกติ สร้างความเสียหายประมาณ 10,490 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหา กรมชลประทาน จึงได้พิจารณาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำคลองระบายน้ำ ร.1 และอาคารประกอบ ให้สามารถรองรับปริมาณน้ำดังกล่าวได้
และเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 กรมชลประทาน ได้อนุมัติในหลักการดำเนินการโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) จ.สงขลา ดำเนินการสร้างตามพระราชดำริ เพื่อช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองระบายน้ำ ร.1 จากเดิม 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ให้ระบายน้ำได้ไม่น้อยกว่า 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และลดระดับความเสียหายจากอุทกภัยช่วงฤดูฝนในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอหาดใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำรองในช่วงฤดูแล้ง ประมาณ 5.0 ล้านลูกบาศก์เมตร
อุทกภัยหาดใหญ่ส่งผลต่อเศรษฐกิจใต้
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา มีลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะ พื้นที่ลาดเทจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ บริเวณตอนปลายของลุ่มน้ำจะเป็นที่ราบลุ่มแผ่กว้างก่อนถึงทะเลสาบสงขลา มีคลองอู่ตะเภาเป็นคลองระบายน้ำหลัก และประกอบด้วย ลุ่มน้ำย่อยรวม 17 ลุ่มน้ำ
คลองอู่ตะเภา เป็นคลองธรรมชาติที่สามารถรับน้ำได้เพียง 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น เมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำเกิน 120 มิลลิเมตร เป็นเวลา 3 ชั่วโมง น้ำจะเคลื่อนตัวจากพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนเข้าสู่เทศบาลนครหาดใหญ่ ภายใน 10-30 ชั่วโมง และทำให้เกิดสภาพน้ำล้นตลิ่งคลองอู่ตะเภาบริเวณเทศบาลนครหาดใหญ่ เช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2531 ซึ่งอุทกภัยในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา สร้างความเสียหายแก่พื้นที่ประมาณ 250 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของพื้นที่ ประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท และต่อมา ในปี 2543 พื้นที่น้ำท่วมขยายเป็นกว่า 320 ตารางกิโลเมตร มูลค่าความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18,000 ล้านบาท และมีประชาชนเสียชีวิตถึง 30 คน แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ราวร้อยละ 80 ที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ และสังคมของภาคใต้ตอนล่าง
จัดระบบน้ำบรรเทาอุทกภัย
หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ในปี 2543 หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำแนวพระราชดำริในการบรรเทาอุทกภัยไปทบทวน และจัดทำแนวทางการแก้ไขและบรรเทาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม วิธีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่คลองอู่ตะเภา และลำน้ำสาขา เพื่อสกัดน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลลงมายังเมืองหาดใหญ่นั้น คงไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากทำเลที่ตั้งไม่มีความเหมาะสมที่จะสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
ดังนั้น การแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการน่าจะได้แก่ การขุดลอกคลองระบายน้ำที่มีอยู่ พร้อมกับขุดลอกคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกให้สามารถระบายน้ำ และแบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภา ที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้มีการพิจารณาร่วมกับระบบผังเมืองให้มีความสอดคล้อง และได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย
หาดใหญ่พ้นภัยด้วยน้ำพระทัยจากในหลวง
เมื่อโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ ดำเนินการแล้วเสร็จ ปัญหาอุทกภัยของอำเภอหาดใหญ่ก็บรรเทาเบาบางลงไปเป็นอย่างมาก แม้แต่ในปีที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง และมีการประกาศเตือนให้เฝ้าระวังอุทกภัย แต่ชาวอำเภอหาดใหญ่ ก็รอดพ้นจากภัยน้ำท่วมมาได้ทุกครั้ง อาจมีบ้างที่น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นในตัวเมือง แต่น้ำก็จะไหลลงสู่คลองระบายน้ำ และไหลออกสู่ทะเลสาบสงขลาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวอำเภอหาดใหญ่ และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างอเนกอนันต์
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ (กปร.) และกรมชลประทาน
- http://www.rdpb.go.th/rdpb/Front/Projects/ImportantDetail.aspx?projectid=262
-http://kromchol.rid.go.th/lproject/lsp11/2014/index.php/example-pages/29-hadyai