ปัตตานี - กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงเหตุรุนแรงในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เผยกระทบต่อพื้นที่ และประชาชนเป็นอย่างมาก พร้อมประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ไปหลบซ่อนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
วันนี้ (5 ก.ค.) พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดเผยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นหลายครั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งผลความเสียหายต่อภาพรวมของพื้นที่ และประชาชนส่วนใหญ่ พอสรุปได้ดังนี้
1.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.59 เวลา 14.30 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดรางรถไฟ เส้นทางระหว่างสถานีบาลอ-รือเสาะ แรงระเบิดทำให้รางรถไฟได้รับความเสียหาย ยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และใช้เส้นทางในการสัญจรเพื่อเตรียมต้อนรับวันฮารีรายอ ต้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
2.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.59 เวลา 19.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดหน้ามัสยิดกลางปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสถานีตำรวจภูธรปัตตานี ซึ่งขณะเกิดเหตุกำลังปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องมุสลิมที่เดินทางมาประกอบศาสนกิจที่มัสยิดกลางปัตตานี ซึ่งในแต่ละคืนมีจำนวนมากกว่า 2,000 คน
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่พี่น้องมุสลิมในพื้นที่รับไม่ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้รวมตัวกันละหมาดฮายัต และออกมารณรงค์ต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ พร้อมกันนี้ ผู้นำศาสนาในพื้นที่ จ.ปัตตานี นำโดยอิหม่ามประจำมัสยิดปัตตานี ได้เข้าให้กำลังใจพร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว จ.ส.ต.อนุรักษ์ รักบุตร จำนวน 1,110,000 บาท ที่ได้จากการบริจาคของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ นอกจากนี้ นายอาซีส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ในนามตัวแทนพี่น้องมุสลิมทั้งประเทศได้บริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัว 50,000 บาท และกลุ่มองค์กรมุสลิมต่างๆ ได้ร่วมกันบริจาคเงินอีก 38,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัวในเบื้องต้น
สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรดังกล่าว เกิดจากการร้องขอของอิหม่ามประจำมัสยิดปัตตานี ที่ได้ทำหนังสือไปยังสถานีตำรวจภูธรปัตตานี เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาคอยอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางมาประกอบศาสนกิจในยามค่ำคืน ซึ่งมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมาลอบวางระเบิดจนเสียชีวิตดังกล่าว
3.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ก.ค.59 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกลงบนถนนใกล้หน้ามัสยิด อ.บันนังสตา ทำให้ราษฎรเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ในขณะที่พี่น้องชาวไทยมุสลิมกำลังปฏิบัติศาสนกิจช่วงละศีลอด สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คาดว่ามีการยิงมาจากพื้นที่ห่างจากด้านหลังมัสยิดกลาง และน่าจะประสงค์ยิงสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา แต่กระสุนกระทบสายไฟ หรือกิ่งไม้ก่อนจึงตกลงบริเวณถนนด้านหน้ามัสยิด ทำให้ราษฎรที่เดินทางมาละหมาดที่มัสยิดได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีผลการปฏิบัติงานเชิงรุกในการเข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัยจนนำไปสู่การตรวจพบอาวุธยุทโธปกรณ์อีกหลายรายการ ซึ่งมีผลการปฏิบัติงานสำคัญ ดังนี้
1.เมื่อวันที่ 2 ก.ค.59 เวลา 09.30 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมปัตตานี สนธิกำลัง ฉก.นราธิวาส 30 และกำลังร่วม 3 ฝ่าย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง โดยเข้าทาการปิดล้อมบริเวณบ้านอูยิ หมู่ที่ 4 ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะทำการปิดล้อมตรวจค้นได้ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ผลการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จำนวน 2 นาย ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต จำนวน 2 ราย นอกจากนี้ ยังตรวจพบอาวุธยุทโธปกรณ์หลายรายการ ดังนี้
1.1 อาวุธปืน M16 (ตัดสั้น) หมายเลขปืน 95473106 พร้อมซองกระสุน จากการตรวจสอบเป็นอาวุธปืนของ ร้อย ร.15121 ถูกแย่งชิงเมื่อ 19 ม.ค.54 จำนวน 1 กระบอก
1.2 อาวุธปืน AK - 47 พร้อมซองกระสุน (อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มา) จำนวน 1 กระบอก
1.3 อาวุธปืนพก ยี่ห้อนอริงโก้ ขนาด 9 มม. (อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มา) จำนวน 1 กระบอก
2.เมื่อวันที่ 5 ก.ค.59 เวลา 01.30 น. ฉก.ทพ.45 ได้สนธิกำลังร่วมกับหน่วยปฏิบัติการร่วมพิเศษจังหวัดนราธิวาส ฉก.ทพ.46 และกำลังร่วม 3 ฝ่าย ได้เข้าพิสูจน์ทราบที่ซุกซ่อนอาวุธปืน ในพื้นที่บริเวณมัสยิดบ้านบาโงแยะ ม.2 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ผลการปฏิบัติที่สำคัญมีดังนี้
2.1 อาวุธปืน M 16 A 1 จำนวน 1 กระบอก จากการตรวจสอบพบว่า เป็นอาวุธที่เคยใช้ก่อเหตุระเบิด และยิงซ้ำเจ้าหน้าที่ชุดครูฝึกเยาวชน โครงการใต้สันติสุขเสียชีวิต 7 นาย และคนร้ายได้ชิงอาวุธไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ค.50 ในพื้นที่ ม.4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
2.2 ซองกระสุนขนาด 30 นัด
2.3 กระสุนปืนขนาด 5.56 มม.
2.4 เสื้อลายพรางทหาร
โดยในระหว่างการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้เชิญอิหม่ามประจำมัสยิดมาเป็นพยานในการพิสูจน์ทราบครั้งนี้ เนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตรวจพบได้มีการนำไปซุกซ่อนไว้ในมัสยิดดังกล่าว จึงขอประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ไปหลบซ่อนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พี่น้องมุสลิมใช้ในการประกอบศาสนกิจ โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนสูญเสียที่พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่จะได้รับ ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้นำศาสนาในมัสยิดดังกล่าวไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เป็นการลักลอบนำมาซุกซ่อนเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่