ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต สนธิกำลังตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานสรรพากร สำนักงานพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดภูเก็ต เข้าตรวจสอบบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่ในพื้นที่ หลังมีการตรวจสอบพบผู้บริหาร-เจ้าของใช้เอกสารบัตรประชาชนปลอมในการขอจดทะเบียนบริษัทมากถึง 17 แห่ง เบื้องต้น เข้ามอบตัวแล้ว 1 ราย และยังอยู่ระหว่างการหลบหนี 1 ราย หลังถูกแจ้งข้อหาใช้เอกสารอันเป็นเท็จขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (15 มิ.ย.) พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.อกนิษฐ์ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ ผู้กำกับการกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด พ.ต.ต.นฤวัต พุทธวิโร สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดภูเก็ต สำนักงานสรรพากร สำนักงานพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต นำหมายค้นจากศาลจังหวัดภูเก็ต เลขที่ 91/2559 เข้าตรวจค้นอาคารเลขที่ 29/42 ม.1 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเปิดเป็นบริษัททัวร์ในเครือบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 เป้าหมายหมายของการเข้าตรวจค้นในวันนี้
ซึ่งประกอบด้วย อาคารดังกล่าว 2 จุด ท่าจอดเรือ 1 จุด และอาคารสำนักงานที่อาคารพูนพลพลาซ่า 1 จุด จากจำนวน 17 บริษัท ที่มีการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโดยคนคนเดียวกัน เพื่อตรวจสอบเอกสารทางการเงิน การจดทะเบียนการจัดตั้งบริษัท รวมทั้งเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้จัดการสำนักงานลงชื่อรับทราบ และนำตรวจค้นในส่วนต่างๆ ของบริษัท
พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นเอกสารในครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางจังหวัดภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเดินทางมาประชุมที่จังหวัดภูเก็ตกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหานอมินีในพื้นที่ หลังมีการร้องเรียนเรื่องของนอมินีเข้ามาเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น ในส่วนของตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตรวจสอบ และเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่สงสัยว่าจะเป็นนอมินี มาประมาณ 3 -4 เดือนมาแล้ว มีบริษัทเป้าหมายที่จะต้องเข้าตรวจสอบไม่น้อยกว่า 50 บริษัท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า การจัดตั้งบริษัทโดยใช้นอมินีนั้นมีหลายรูปแบบ คือ ใช้คนไทยเข้ามาถือหุ้นแทน แต่ที่ตรวจพบ และคิดว่าจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ กรณีคนต่างด้าวใช้บัตรประชาชนปลอมมาขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
สำหรับการตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า ผู้บริหารบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง รวมทั้งเจ้าของบริษัทขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องต่อบริษัทนำเที่ยว รถทัวร์บริการนำเที่ยว เรือนำเที่ยว และโรงแรม รวมแล้วจำนวน 17 บริษัท ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกสืบสวนในทางลับโดยใช้เวลานานกว่า 3 เดือน จนทราบว่า ทั้งผู้บริหาร และเจ้าของบริษัทเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ใช้บัตรประชาชนปลอม ซึ่งได้มีการสืบสวนไปยังกรมการปกครอง บัตรประชาชนดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว ออกมาจากอำเภอแม่สาย ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ไปสืบสวนหาบุคคลที่อ้างว่าเป็นพ่อแม่ และขอเก็บดีเอ็นเอมาตรวจสอบ พร้อมขอศาลออกหมายจับในคดีใช้เอกสารอันเป็นเท็จขอจัดตั้งบริษัททั้งเจ้าของบริษัท และผู้บริหารระดับสูง ซึ่งศาลก็ได้อนุมัติหมายจับ และในวันนี้ ทางผู้บริหารก็ได้เข้าไปมอบตัวต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว 1 ราย ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนเจ้าของบริษัทอีกคนนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการหลบหนี
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทางตำรวจก็ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวต่างๆ เพื่อให้เข้าตรวจสอบเรื่องของเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เรื่องของการทำบัญชี และเรื่องๆ อื่น รวมทั้งการตรวจสอบเรื่องของการเสียภาษี รายรับรายจ่าย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า บริษัทมีรายได้ปีละกว่า 160 ล้าน แต่มีรายจ่ายสูงกว่า 150 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเอกสารต่างๆ นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายหรือไม่
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (15 มิ.ย.) พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.อกนิษฐ์ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ ผู้กำกับการกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด พ.ต.ต.นฤวัต พุทธวิโร สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดภูเก็ต สำนักงานสรรพากร สำนักงานพาณิชย์จังหวัดภูเก็ต นำหมายค้นจากศาลจังหวัดภูเก็ต เลขที่ 91/2559 เข้าตรวจค้นอาคารเลขที่ 29/42 ม.1 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเปิดเป็นบริษัททัวร์ในเครือบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 เป้าหมายหมายของการเข้าตรวจค้นในวันนี้
ซึ่งประกอบด้วย อาคารดังกล่าว 2 จุด ท่าจอดเรือ 1 จุด และอาคารสำนักงานที่อาคารพูนพลพลาซ่า 1 จุด จากจำนวน 17 บริษัท ที่มีการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโดยคนคนเดียวกัน เพื่อตรวจสอบเอกสารทางการเงิน การจดทะเบียนการจัดตั้งบริษัท รวมทั้งเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้จัดการสำนักงานลงชื่อรับทราบ และนำตรวจค้นในส่วนต่างๆ ของบริษัท
พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นเอกสารในครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางจังหวัดภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเดินทางมาประชุมที่จังหวัดภูเก็ตกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหานอมินีในพื้นที่ หลังมีการร้องเรียนเรื่องของนอมินีเข้ามาเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น ในส่วนของตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตรวจสอบ และเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่สงสัยว่าจะเป็นนอมินี มาประมาณ 3 -4 เดือนมาแล้ว มีบริษัทเป้าหมายที่จะต้องเข้าตรวจสอบไม่น้อยกว่า 50 บริษัท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า การจัดตั้งบริษัทโดยใช้นอมินีนั้นมีหลายรูปแบบ คือ ใช้คนไทยเข้ามาถือหุ้นแทน แต่ที่ตรวจพบ และคิดว่าจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ กรณีคนต่างด้าวใช้บัตรประชาชนปลอมมาขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
สำหรับการตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า ผู้บริหารบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง รวมทั้งเจ้าของบริษัทขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่เกี่ยวข้องต่อบริษัทนำเที่ยว รถทัวร์บริการนำเที่ยว เรือนำเที่ยว และโรงแรม รวมแล้วจำนวน 17 บริษัท ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกสืบสวนในทางลับโดยใช้เวลานานกว่า 3 เดือน จนทราบว่า ทั้งผู้บริหาร และเจ้าของบริษัทเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ใช้บัตรประชาชนปลอม ซึ่งได้มีการสืบสวนไปยังกรมการปกครอง บัตรประชาชนดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว ออกมาจากอำเภอแม่สาย ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ไปสืบสวนหาบุคคลที่อ้างว่าเป็นพ่อแม่ และขอเก็บดีเอ็นเอมาตรวจสอบ พร้อมขอศาลออกหมายจับในคดีใช้เอกสารอันเป็นเท็จขอจัดตั้งบริษัททั้งเจ้าของบริษัท และผู้บริหารระดับสูง ซึ่งศาลก็ได้อนุมัติหมายจับ และในวันนี้ ทางผู้บริหารก็ได้เข้าไปมอบตัวต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว 1 ราย ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนเจ้าของบริษัทอีกคนนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการหลบหนี
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทางตำรวจก็ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวต่างๆ เพื่อให้เข้าตรวจสอบเรื่องของเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เรื่องของการทำบัญชี และเรื่องๆ อื่น รวมทั้งการตรวจสอบเรื่องของการเสียภาษี รายรับรายจ่าย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า บริษัทมีรายได้ปีละกว่า 160 ล้าน แต่มีรายจ่ายสูงกว่า 150 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเอกสารต่างๆ นั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายหรือไม่