ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ เดินทางไปยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการ มทบ.42 เรียกร้องให้วางตัวเป็นกลาง หลังแสดงออกเกินหน้าที่สนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินออกนอกหน้า วางตัวไม่เป็นกลาง และคุกคามการทำหน้าที่ของนักวิชาการ และประชาชนผู้เห็นต่าง
วันนี้ (25 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ ได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 สงขลา เรื่องขอให้ มทบ.42 วางตัวเป็นกลาง และยุติการคุกคามกลุ่มผู้คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า
การที่มณฑลทหารบกที่ 42 ออกหนังสือถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในลักษณะที่คุกคามนักวิชาการที่ค้านถ่านหินนั้น นับเป็นฟางเส้นท้ายๆ ที่ทำให้กลุ่มองค์กรภาคประชาชนต้องมาแสดงออกเพื่อขอให้ทหาร โดยเฉพาะ มทบ.42 ทบทวนจุดยืนของตนเอง ซึ่งได้มีท่าทีที่เข้าข้าง กฟผ.และทุนถ่านหินอย่างออกหน้าแทน นับตั้งแต่
1.กรณีการจัดเวที ค.1 และ ค.3 ที่มีการนำกำลัง รถหุ้มเกราะ ลวดหนามสงคราม รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ออกปฏิบัติการราวกับจะมีการสู้รบใหญ่โต 2.การที่ตัวแทนจาก มทบ. 42 ได้จัดการชุมนุมธงชมพูหนุนถ่านหินในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 ทั้งที่ทหารซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติควรวางตัวเป็นกลาง 3.ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2559 ซึ่งกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาได้จัดการละหมาดฮายัตขึ้น ทางกองทัพได้ส่งรถหุ้มเกราะเข้าไปทักทายในหมู่บ้าน ซึ่งปกติอย่างมากก็ส่งรถกระบะลงพื้นที่ จึงถือเป็นการคุกคามในรูปแบบหนึ่ง
4.จนเมื่อมีหนังสือจาก มทบ.42 ถึงอธิการบดี ม.อ.แม้ตัวจดหมายจะไม่ได้ระบุชัดว่าให้กดดันอาจารย์หลายท่านให้เลิกค้านถ่านหิน แต่โดยนัยของหนังสือฉบับนี้ก็เป็นการข่มขู่อย่างชัดเจน 5.จากการที่มีหน่วยทหารเฉพาะกิจจังหวัดสงขลา (ฉก.สงขลา) ได้จัดประชุมสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และติดตามความเคลื่อนไหวในลักษณะที่ไม่เป็นกลางต่อผู้ประสานงานเครือข่ายฯ ที่โรงไฟฟ้าจะนะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา และมีการออกคำสั่งกึ่งทางการมายังเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในพื้นที่ โดยห้ามเครือข่ายฯ จัดกิจกรรมคัดค้านโรงไฟฟ้าต่างๆ ไม่ว่าการเดินต่อลมหายใจชายแดนใต้ หรือการเดินรณรงค์ในเทพา หรือการจัดเจ้าหน้าที่ทหารมาพบปะผู้ประสานงานของเครือข่ายฯค่อนข้างบ่อยเกินไปเหมือนลักษณะการติดตาม หรือการเป็นผู้ฟ้อง หรือการให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในการให้ดำเนินคดีความทางอาญา หรือทางวินัย ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ประสานงานเครือข่ายฯ บางคนตลอดเวลาเหมือนกับมีความอาฆาตแค้นส่วนตัวมาก่อน
จากรูปธรรมอย่างน้อย 5 ประการนี้ มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่า มทบ.42 มีอคติต่อกลุ่มคัดค้านถ่านหิน และมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ กฟผ. เห็นกลุ่มคัดค้านถ่านหินเป็นเหมือนกองทหารต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน ที่ต้องขยี้ลงให้ได้ในทุกทาง ซึ่งนับเป็นทัศนะสายเหยี่ยวที่ไม่แก้ปัญหาแต่อย่างใด ต่างกับทาง กอ.รมน.ภาค 4 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความใส่ใจในความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมากกว่า
การที่ มทบ.42 มีพฤติกรรมในลักษณะที่ไปรับใช้นายทุนอย่างออกหน้า สูญเสียความเป็นกลาง และกลายเป็นผู้สร้างเงื่อนไขความตกแยกในสังคมเสียเอง จนอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นภัยแทรกซ้อนต่อสันติภาพได้
ทางเครือข่ายฯ และประชาชนผู้รักสิ่งแวดล้อม และความเป็นธรรม จึงขอเรียกร้องต่อ มทบ.42 ดังนี้ 1.ขอให้ มทบ.42 วางตัวเป็นกลางต่อประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2.ขอให้ยุติการคุกคามต่อนักวิชาการ และภาคประชาชนที่คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3.ขอให้ยกเลิก และเรียกคืนหนังสือฉบับที่ส่งถึงอธิการบดี ม.อ.หาดใหญ่ หาก มทบ. 42 ยืนยันว่านั่นไม่ใช่การคุกคาม ก็ควรถอนหนังสือกลับเสียเพื่อการแสดงความจริงใจ