ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - จับผัวเก่าเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย ยิงอดีตเมียสาวสวนยางหาดใหญ่เสียชีวิตขณะกรีดยาง แต่ยังคงให้การปฏิเสธ
วันนี้ (20 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์ประสานงาน กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.6 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.ท.ดิเรก โฉมยงค์ รอง รอง ผกก.6 บก.ป. และ พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล รอง ผกก.6 บก.ป. ควบคุมตัว นายสุรัตกฤษฎิ์ หรือแผน กุลปภาดา อายุ 50 ปี ชาว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล จ.สงขลา ที่ จ.233/2559 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 มาทำการสอบสวน
หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีใช้อาวุธปืนลูกซองยิง นางรัตนา รัตนพันธ์ อายุ 33 ปี หรือสาวแป้ง อายุ 33 ปี เสียชีวิตภายในป่าสวนยางพื้นที่บ้านพรุชบา ม.7 ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 พ.ค.59 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 65/61 ม.10 ซ.23/3 ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี
จากการสอบสวนในเบื้องต้นผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับว่า ได้รู้จัก และคบหากับผู้ตายมานานกว่า 2 ปี โดยได้อยู่กินกันที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะเลิกรากันไปเมื่อประมาณ 7-8 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ตายอยากกลับมากรีดยาง และใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิด โดยขณะที่ถูกจับกุมก็ยังไม่ทราบว่าผู้ตายได้เสียชีวิตไปแล้ว
พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ ผกก.6 บก.ป. เผยว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสจากโทรศัพท์มือถือที่ผู้ต้องหาเคยโทร.มาข่มขู่ว่าจะฆ่าผู้ตาย และสามีคนใหม่ ซึ่งแม่ของผู้ตายก็รับรู้เรื่องราวของการอาฆาตแค้น และการโทร.มาขู่ฆ่าก่อนวันเกิดเหตุประมาณ 2 อาทิตย์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ และนอกจากนี้ ผู้ต้องหายังให้การว่า เคยมีปืนลูกซองเอาไว้ในครอบครอง แต่ได้ขายไปแล้ว อีกทั้งเบาะแสจากกล้องวงจรปิดในเส้นทางสายล่องใต้ยังสามารถจับภาพรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีบรอนซ์ ทะเบียน ญบ 4192 ซึ่งเป็นของพี่สาวผู้ต้องหาที่ใช้ขับขี่ลงมายัง จ.สงขลา ในช่วงก่อนเกิดเหตุด้วย ซึ่งมั่นใจว่ามีหลักฐานมัดตัวหนาแน่นเพียงพอที่จะเอาผิด ซึ่งขณะถูกจับกุมผู้ต้องหาไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้าน หรือตกใจแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้ง 3 ข้อหา ทั้งฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร