คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
----------------------------------------------------------------------------------------
ความรุนแรงของสถานการณ์ใต้ล่าสุด คือ การสูญเสียของตำรวจ สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส 3 นาย และบาดเจ็บทั้งสาหัส และไม่สาหัสอีก 6 นาย เป็นความสูญเสียบนท้องถนนในเวลากลางวัน ด้วยฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือโจรก่อการร้าย ที่ใช้วิธีการวางระเบิดแสวงเครื่องระเบิดรถยนต์ ก่อนที่จะระดมยิงซ้ำ
ก่อนที่จะต่อเนื่องด้วยการก่อเหตุร้ายด้วยการวางระเบิด จำนวน 10 จุดในพื้นที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ทำให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 นาย ชาวบ้านกลายเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์ โดยสูญเสียชีวิตไปอีกหนึ่งศพ
ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย และบาดเจ็บ รวมทั้งขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ยังยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ท้อถอย ท่ามกลางสถานการณ์ที่อาจจะเกิดความบาดเจ็บล้มตายได้ทุกขณะ ไม่ว่าจะอยู่ในสนาม หรือในที่ตั้ง
เพราะสถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ “สงครามประชาชน” คือ “สงครามกองโจร” คือ การทำการสู้รบแบบ “อสมมาตร” ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุใช้กำลังที่น้อยกว่า และอาวุธที่ด้อยกว่าในการสร้าง “ความสูญเสีย” ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ
จะเห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรง และความสูญเสียของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้กองทัพมีอาการ “ร้อนรน” แบบ “นั่งไม่ติด” โดยเฉพาะ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. และเลขาธิการ กอ.รมน. ถึงขั้นบินขึ้น-ลงระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดชายแดนใต้ถี่ยิบ แสดงถึง “ความตั้งใจ” และ “ความจริงใจ” ในการที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
การประชุมครั้งล่าสุดระหว่าง ผบ.ทบ. กับแม่ทัพภาคที่ 4 รวมทั้งเลขาธิการ ศอ.บต. ผบช.ศชต. คือ การสั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มุ่งเน้นปฏิบัติการงานด้าน “การข่าว” งานด้าน “มวลชน” คือ การแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน งานด้านการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด และงานด้านการป้องกันและการเปิดยุทธการในการ “ไล่ล่า” แนวร่วม หรือกลุ่มโจรก่อการร้ายทั้งในชุมชน และป่าเขา
โดยข้อเท็จจริงงานที่ ผบ.ทบ.สั่งการให้ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า หมายรวมถึง ศอ.บต. และ ศชต.ดำเนินการนั้น ล้วนเป็นงานเก่าๆ ที่ ผบ.ทบ.รวมทั้งแม่ทัพภาคที่ 4 ทุกท่านได้สั่งการให้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดความรุนแรงระลอกใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า งานทั้ง 4 ด้านที่ผ่านมาแม้จะมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังปฏิบัติได้ “ไม่สำเร็จผล” และยังกลายเป็นปัญหา ซึ่งเป็นอุปสรรคของการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
การที่งานทั้ง 4 ด้านไม่บรรลุผล ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความสงบในพื้นที่ได้นั้น ไม่ได้มาจากการไม่เอาใจใส่ หรือไม่มีความจริงจัง หรือไม่มีความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ “ความล้มเหลว” ในประการทั้งปวงย่อมมาจากปัญหา และอุปสรรคมากมาย ทั้งที่เป็น “ปัจจัยภายใน” ของหน่วยงาน รวมทั้ง “เอกภาพ” และ “การบูรณาการ”
ดังนั้น การที่จะทำให้งานทั้ง 4 ด้าน “เกิดมรรคผล” จนทำให้สามารถสร้างความสงบเกิดขึ้นได้นั้น สิ่งแรกคือ ต้อง “ค้นหา” ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้พบ และต้อง “สลาย” ปัญหา และอุปสรรคเหล่านั้นให้ได้เสียก่อน
หากยังไม่คิดที่จะนำเอาปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นมา “ย่อยสลาย” การ “บุกบั่น” เดินหน้าต่อไปก็จะไม่ประสบกับความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง
การข่าวที่ยังไม่บรรลุผล ไม่ใช่เพราะไม่มีคนรู้เรื่องความเคลื่อนไหวในพื้นที่ของแนวร่วม เพราะการปฏิบัติการทุกครั้งไม่ว่าจะเป็น “ขนาดใหญ่” หรือ “ขนาดเล็ก” ผู้คนในพื้นที่ล้วนรับรู้ความเคลื่อนไหวของแนวร่วม แถมในสถานที่ราชการหลายแห่งมี “หนอนบ่อนไส้” แฝงตัวอยู่
โดยเฉพาะ “ผู้นำท้องที่-ผู้นำท้องถิ่น” จะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่รู้ความเคลื่อนไหว รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายในพื้นที่ แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และบ้านเมืองเท่านั้นเอง
ดังนั้น จึงต้องหาสาเหตุให้พบว่า ทำไมคนในพื้นที่ไม่ว่าเป็น “คนของบ้านเมือง” รวมถึงผู้นำศาสนา ผู้นำองค์กรต่างๆ หรือประชาชนทั่วไปจึงไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ทั้งที่คนเหล่านี้ต่างเป็นกลุ่ม “คนมือล่าง” ที่ตลอดเวลา 12 ปีที่ผ่านมา รัฐได้ “ทุ่มเทงบประมาณ” อย่างมหาศาลลงไปให้ เพื่อแสดง “ความจริงใจ” และเพื่อที่จะให้ “ได้ใจ” ของกลุ่มคนเหล่านี้
แต่สุดท้าย 12 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทำตัวเป็น “คนมือบน” ด้วยการใช้ “น้ำเงิน” เพื่อแสดงความจริงใจต่อกลุ่ม “คนมือล่าง” แต่ก็ไม่ได้รับ “น้ำใจ” แห่งความจริงใจในการที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่แต่อย่างใด ทั้งที่พื้นที่เหล่านั้นคือ “มาตุภูมิ” ของพวกเขา
การที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ดำเนินการต่อผู้นำท้องที่ใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หลังมีเหตุการณ์แนวร่วม หรือกลุ่มโจรก่อการร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องเพื่อใช้เป็น “ป้อมปืน” และใช้คนป่วยเป็น “โล่กำบัง” ในการโจมตีฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาล
เป็นการทำความเข้าใจต่อ “ผู้นำท้องที่” ซึ่งมีสถานะเป็น “คนของหลวง” ที่ต้องมีหน้าที่ในการร่วมกัน “ดับทุกข์” ให้แก่แผ่นดิน แทนที่จะแต่งเครื่องแบบ และรับค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ “ใส่ใจ” ต่อ “ความทุกข์” ของผู้คนในเขตความรับผิดชอบไม่ได้
สถานการณ์กว่าหนึ่งศตวรรษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ผู้นำองค์กร” ทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นท้องที่ ท้องถิ่น คนในพื้นที่ ผู้นำศาสนา ต่างถามหา “ความจริงใจ” จากรัฐบาล จากกองทัพ จากส่วนราชการในพื้นที่มาโดยตลอด
และที่ผ่านมา การกระทำของรัฐบาลก็ดี ของกองทัพก็ดี หน่วยงานอื่นๆ ก็ดี ต่างได้แสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่ามี “ความตั้งใจ” และมี “ความจริงใจ” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
วันนี้สิ่งที่ต้องมีการตั้ง “คำถาม” จากทั้งภาครัฐ และ “คนส่วนน้อย” ในพื้นที่คือ การถามหา “ความจริงใจ” จากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งถามหา “ความจริงใจ” จากกลุ่ม “คนส่วนใหญ่” ในพื้นที่ว่ามี “ความจริงใจ” แค่ไหนในการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
วันนี้สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง ไม่ได้มาจากการขาดแคลนงบประมาณ ไม่มีมาจากนโยบายที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาจากกระบวนการยุติธรรม แต่มาจากการขาดแคลน “ความจริงใจ” ของกลุ่มคน และองค์กรหลายๆ องค์กรในพื้นที่ ซึ่งยังทำตัวเป็นเพียง “คนมือล่าง” เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่เคยที่ทำหน้าที่ของ “คนมือบน” แต่อย่างใด
สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้ สิ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องทำก่อน คือ 1.ต้องทำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นที่ “ไม่ปลอดภัย” สำหรับ “แนวร่วม” หรือกลุ่มโจรก่อการร้าย 2.ต้องไม่มีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวอย่างที่ผ่านมา และ 3.ให้ทางเลือกแก่ 3 ทางเลือก คือ หนึ่ง-กลับตัวเข้าสู่กระบวนการ “พาคนกลับบ้าน” สอง-ไล่ล่า จับกุม เพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และ สาม-หลบหนีออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทำ 3 เรื่องนี้ให้ “จริงจัง” ให้เป็นมรรค เป็นผล เมื่อพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ปลอดโจร” หรือ “โจรอยู่ไม่ได้” เหตุร้ายย่อมที่จะลดลง
เลิกการ “เอาใจ” คนในพื้นที่แบบผิดๆ เลิกใช้เงินในการ “สร้างภาพ” เช่น ใช้เงินจ่ายให้คนออกมาต่อต้านความรุนแรง หรือในรูปแบบต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “มายาภาพ” ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก “ค่าจ้าง” เพื่อเป็นการ “สร้างภาพ” ให้คนในต่างพื้นที่ “ดูดี” แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการทำให้สถานการณ์ความเลวร้ายลดลง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าใน 6 เดือนต่อไปนี้ (ตามคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธาน คสช.) จะเป็น 6 เดือนแห่งการทำงานหนักของ “แม่ทัพภาคที่ 4” ในการทำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็น “พื้นที่อันตราย” สำหรับกลุ่ม “แนวร่วม” หรือ “โจรก่อการร้าย” อย่างแท้จริง