ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยมศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ย้ำการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมเพื่อเป็นช่องทางให้รัฐบาลรับทราบความเดือดร้อนของประชาชน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (27 ม.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เข้าตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ในโอกาสเดินทางมาประชุมมอบนโยบาย กำกับและติดตามการปฏบัติราชการในภูมิภาค ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 7 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และระนอง โดยมี นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นำเยี่ยมชมพร้อมบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน
ในโอกาสนี้ มีนายนิรันดร์ หยังปาน ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านตำบลราไวย์ พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายสิทธิคนจนพัฒนาภูเก็ต และตัวแทนชุมชนซอยกิ่งแก้ว เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐบาล ผ่าน พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐหาแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมนั้น เพื่อเป็นช่องทางที่รัฐบาล คสช. จะได้รับทราบความทุกข์สุขของประชาชน และสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ได้รับฟังข้อเสนอแนะ หรือแก้ไขความคับข้องใจของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับความพึงพอใจ ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด ให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และคำนึงถึงความพึงพอใจของประชาชน สามารถแก้ปัญหาของประชาชนให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของปัญหา หรือเรื่องร้องเรียนทั้ง 5 จังหวัด ไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับจังหวัด เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อนโยบายจากส่วนกลาง คือ ปัญหาเรื่องที่ดิน คือ มีทั้งการบุกรุกที่สาธารณะ การขอเอกสารสิทธิในที่ดินของรัฐ การถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานต่างๆ ซึ่งเรื่องปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน รัฐบาลได้มีนโยบายในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา และทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
โดยนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตร (ส.ป.ก.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว เพราะที่ดินที่จะจัดสรรให้แก่ประชาชนอยู่ในความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน และมีกฎหมายหลายฉบับที่ต้องดำเนินการจึงอาจจะทำให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้ยังไม่ได้ผลเร็วเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้มีความมุ่งมั่น และตั้งใจอย่างเต็มที่ในการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งหากนโยบายนี้มีการเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ก็จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะได้ในระดับหนึ่ง
วันนี้ (27 ม.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เข้าตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ในโอกาสเดินทางมาประชุมมอบนโยบาย กำกับและติดตามการปฏบัติราชการในภูมิภาค ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 7 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และระนอง โดยมี นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นำเยี่ยมชมพร้อมบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน
ในโอกาสนี้ มีนายนิรันดร์ หยังปาน ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านตำบลราไวย์ พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายสิทธิคนจนพัฒนาภูเก็ต และตัวแทนชุมชนซอยกิ่งแก้ว เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐบาล ผ่าน พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐหาแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมนั้น เพื่อเป็นช่องทางที่รัฐบาล คสช. จะได้รับทราบความทุกข์สุขของประชาชน และสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ได้รับฟังข้อเสนอแนะ หรือแก้ไขความคับข้องใจของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับความพึงพอใจ ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด ให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และคำนึงถึงความพึงพอใจของประชาชน สามารถแก้ปัญหาของประชาชนให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของปัญหา หรือเรื่องร้องเรียนทั้ง 5 จังหวัด ไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับจังหวัด เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อนโยบายจากส่วนกลาง คือ ปัญหาเรื่องที่ดิน คือ มีทั้งการบุกรุกที่สาธารณะ การขอเอกสารสิทธิในที่ดินของรัฐ การถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานต่างๆ ซึ่งเรื่องปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน รัฐบาลได้มีนโยบายในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา และทำในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
โดยนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตร (ส.ป.ก.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว เพราะที่ดินที่จะจัดสรรให้แก่ประชาชนอยู่ในความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน และมีกฎหมายหลายฉบับที่ต้องดำเนินการจึงอาจจะทำให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้ยังไม่ได้ผลเร็วเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้มีความมุ่งมั่น และตั้งใจอย่างเต็มที่ในการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งหากนโยบายนี้มีการเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ก็จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะได้ในระดับหนึ่ง