นครศรีธรรมราช - ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช เร่งดำเนินการทุกฐานความผิดที่เกี่ยวข้องต่อผู้ต้องหาในคดีพระข่มขืนเด็กหญิง 14 ปี ขณะที่คณะกรรมการปกป้องศาสนา และสภาปฏิรูปแห่งชาติลงพื้นที่ติดตามคดีหลังพบเด็กร้องไปทุกหน่วยแต่เรื่องเงียบเฉย ระบุเป็นเหตุผลหนึ่งในการปฏิรูปพระสงฆ์ที่ต้องเร่งดำเนินการ
วันนี้ (10 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านสังคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ติดตามคดีพระข่มขืนเด็กหญิงวัย 14 ปี ซึ่งอยู่ในระหว่างสหวิชาชีพสอบปากคำเด็กหญิงผู้เสียหายรายนี้ โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มอบเงินเยียวยา จำนวน 3 หมื่นบาท ตามสิทธิที่ผู้เสียหายจะต้องได้รับตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนการสอบเด็กและเยาวชน นายสิระ เจนจาคะ ได้นัดหมายเด็กที่อยู่ในฐานะผู้เสียหาย พร้อมด้วยผู้ปกครองเข้าหารือที่ห้องรับรองกองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช เพื่อติดตามความคืบหน้าของการทำสำนวนคดี โดย พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอาง ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมรา ได้เรียกพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี รวมทั้ง พ.ต.ท.อธิวุฒิ ไวยกาญจน์ หัวหน้าพนักงานสอบสวน เข้ารายงานความคืบหน้าของการสอบสวน รวมทั้งมอบหมายให้เร่งดำเนินการทุกฐานความผิดที่เกี่ยวข้องต่อผู้ต้องหาที่เป็นพระรายนี้
พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอาง ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้เร่งสอบสวนผู้ต้องหาในขณะนี้พบว่า เป็นพระที่บวชมาแล้วหลายครั้งเพื่อหารายได้ และมีพฤติการณ์หลอกลวงเรื่องของการแจกจ่ายยาแผนโบราณ ซึ่งพบว่าเป็นการผิด พ.ร.บ.ยาอีกด้วย เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการในทุกฐานความผิดที่เกี่ยวข้อง ส่วนการออกหมายจับนั้นอยู่ในระหว่างดำเนินการให้เร็วที่สุด และต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน
ขณะที่ นายสิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านสังคมและคณะกรรมการปกป้องศาสนา ระบุว่า เด็กรายนี้ได้ร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักพระพุทธศาสนา และแม้กระทั่งเจ้าคณะอำเภอ แต่เรื่องกลับเงียบเฉย ต้องให้ความเป็นธรรม โดยเฉพาะผู้ต้องหาเป็นพระจะต้องกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากศาสนา และเรื่องเช่นนี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการปฏิรูปวงการสงฆ์ และแนวคิดการจัดเก็บภาษีพระสงฆ์ เนื่องจากพบว่ามีพระสงฆ์ไม่น้อยที่บวชมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากความศรัทธาของประชาชน และมีพระที่ก่อเหตุเช่นนี้ไม่ใช่รายแรก ส่วนเด็กที่ออกมาถือเป็นความกล้าหาญ