ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศิษย์-อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มรภ.สงขลา แท็กทีมโชว์ผลงานผ่านนิทรรศการ อาจารย์นำร่องขน 19 ชิ้นงาน จัดแสดงหอศิลป์ ม.ศิลปากร ฟากนักศึกษาไม่น้อยหน้า อวดผลงานจากการเรียนตลอด 4 ปี ในงานศิลปะนิพนธ์ รวมเป็นเราอาร์ต#2
นายวารี แสงสุวอ อาจารย์ประจำหลักสูตรทัศนศิลป์ โปรแกรมวิชาศิลปกรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ มรภ.สงขลา เปิดเผยว่า ได้รับเชิญให้ร่วมจัดแสดงผลงานศิลปะ ณ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 7-27 พฤษภาคม 2558 โดยใช้ชื่อนิทรรศการว่า “Shape of Remembrance” รวบรวมผลงานสร้างสรรค์ จำนวน 19 ชิ้นงาน ภายใต้กรอบแนวความคิดที่นำเสนอรูปร่าง รูปทรงของความทรงจำ ระหว่างปี 2555-2558 และส่งแฟ้มสะสมผลงาน (portfolio) ไปให้หอศิลป์พิจารณา โดยทางหอศิลป์มีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผลงานที่จะนำมาจัดแสดงที่นี่ตลอดทั้งปี ซึ่งตนเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงผลงานในเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับนิทรรศการ Shape of Rememberance เป็นการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับประสบการณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกทางอารมณ์ที่เป็นเรื่องของนามธรรม มาสื่อสารผ่านสัญลักษณ์ และรูปร่างในรูปแบบของรูปธรรม ซึ่งได้ใช้รูปทรงภาพเหมือนใบหน้าของตนเองมาผสมผสานกับการแสดงออกของทัศนธาตุทางศิลปะ ใช้เทคนิคภาพพิมพ์ 3 มิติ สร้างมิติทางด้านการมองเห็นภาพใบหน้าที่มีพื้นผิวหยาบกระด้าง เกิดการปริแตกออกจากกันได้ และใช้สีที่ตัดกันอย่างชัดเจน เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ (สภาวะ) ภายใน แสดงถึงความรู้สึกนึกคิดในความทรงจำ ซึ่งเป็นลักษณะงานศิลปะแบบปัจเจกชน ดังนั้น การรับรู้ และเข้าใจถึงผลงานย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และสุนทรียภาพในการรับรู้ของผู้รับชมแต่ละคน ซึ่งตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานครั้งนี้จะเป็นสื่อสะท้อน และเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์ให้แก่ผู้ที่มีความสนใจต่อไป
ด้าน นายพงศกร จงรักษ์ ประธานโปรแกรมวิชาศิลปกรรม มรภ.สงขลา กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นักศึกษาปี 4 โปรแกรมวิชาศิลปกรรม ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะนิพนธ์ รวมเป็นเราอาร์ต #2 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดทำขึ้นตามหลักสูตรการเรียนการสอนที่จัดให้มีการเผยแพร่ผลงานในบทสรุปด้านการเรียนการสอน และการสร้างสรรค์ผลงานด้านทัศนศิลป์ของนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายออกสู่สาธารณชน และประชาชนทั่วไป โดยหลักสูตรทัศนศิลป์ เริ่มเปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ พ.ศ.2553 แบ่งออกเป็น 3 วิชาเอก คือ เอกจิตรกรรม เอกประติมากรรม และเอกภาพพิมพ์ ซึ่งนักศึกษาในรุ่นนี้เป็นนักศึกษาหลักสูตรทัศนศิลป์รุ่นที่ 2 แบ่งออกเป็น 2 วิชาเอก คือ เอกจิตรกรรม และเอกภาพพิมพ์ ซึ่งในฐานะของประธานโปรแกรมวิชาศิลปกรรม และอาจารย์ประจำหลักสูตรทัศนศิลป์ มีความชื่นชม และยินดีต่อความสำเร็จชั้นแรกของการทำงานศิลปะนิพนธ์ ออกเผยแพร่ต่อสาธารณะได้สำเร็จ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นบุคลากรในวิชาชีพด้านศิลปะต่อไป”
นายพงศกร กล่าวอีกว่า นิทรรศการในครั้งนี้เป็นผลงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาทัศนศิลป์ จำนวน 19 คน แบ่งเป็นผลงานนักศึกษาวิชาเอกจิตกรรม 10 คน ได้แก่ วัตถุแห่งความผูกพัน โดย น.ส.นิสารัตน์ คงเกต สภาวะความงามของแสงแดดยามเช้า โดย น.ส.เบญจวรรณ พูลเกิด จิตรภาพจากห้องครัวของแม่ โดย น.ส.แวปาตีฮะ แวยูโซ๊ะ สภาวะความกลัวในบรรยากาศความมืด โดย น.ส.สุวัลลี ภักดีโชติ สาระความงามจากลีลาการเคลื่อนไหวของสัตว์ โดย นายสานิย์ หมีเถื่อน สาระของวัตถุ โดย นายสุธี แลฮา สีสันธรรมชาติในจินตนาการ (โกงกาง) โดย น.ส.สุภลักษณ์ อ่อนสาร จินตนาการปีกผีเสื้อ โดย น.ส.อลิษา ชนะรัตน์ จินตนาการจากป่า โดย น.ส.ศิรินภา แสงมณี สาวภะสัมคร (หมา) โดย น.ส.มลฤดี เหมือนนาค อีกกลุ่มเป็นผลงานนักศึกษาวิชาเอกภาพพิมพ์ 9 คน ได้แก่ อารมณ์ผู้หญิงกับทะเล โดย น.ส.ฐิติยา ตุลยกุล ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับธรรมชาติ โดย นายธีรวัฒน์ แก้วประจันต์ กิจแห่งศรัทธา โดย น.ส.นูรีตา อับดุลลี สภาวะของป่าชายเลน โดย น.ส.ภาวิณีย์ วรรณา ผลไม้กับเพศหญิง โดย น.ส.วรรณวิสา กิติสาธร หน้ากาก-มนุษย์ โดย น.ส.สมฤทัย ทิ้งผอม บรรยากาศแห่งความสุข โดย น.ส.สูไลฮา คาแด ความอบอุ่นภายในครอบครัว โดย น.ส.อัสมูรี หามะ และ โลกเงียบของฉัน โดย น.ส.อาทิตยา เรืองศรี
นายพงศกร กล่าวว่า “ผลงานแต่ละชิ้นงานสร้างสรรค์โดยเทคนิคที่หลากหลาย เช่น ภาพวาดสีน้ำมัน ภาพวาดสีอะคริลิก ภาพพิมพ์แกะไม้ ภาพพิมพ์กัดกรดโลหะ และเทคนิคสื่อผสม ขึ้นกับความสนใจ ความถนัด และมุมมองที่เจ้าของผลงานต้องการนำเสนอ นับเป็นนิทรรศการแสดงผลงานครั้งแรกก่อนจะก้าวสู่เส้นทางวงการศิลปะอย่างเต็มตัวหลังจบการศึกษาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจากผลงานของทั้ง 19 คน มีนักศึกษา 3 คน ที่มีความพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เพราะมีความบกพร่องทางการพูด และได้ยิน จึงนับเป็นเรื่องน่าท้าทายว่า พวกเขาทั้ง 3 คนสามารถฝ่าฟันเพื่อเอาชนะข้อจำกัดทางร่างกายมาได้ แม้จะต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากกว่าคนปกติก็ตาม”