xs
xsm
sm
md
lg

ซึ้งน้ำใจคนไทย หนุ่มเยอรมันออกตามหาคนช่วยชีวิตจากสึนามิถล่ม จ.พังงา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนุ่มเยอรมัน ( คนกลาง) ออกตามหาเด็กหญิงผู้มีพระคุณช่วยชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิถล่มเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มเยอรมัน เหยื่อสึนามิถล่มเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ออกตามหาคนไทยที่เคยช่วยชีวิต เผยขณะเกิดเหตุถูกคลื่นซัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียเลือดมากจนเดินต่อไม่ไหวถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในทะเลโคลน แต่โชคดีมีเด็กหญิงชาวไทยเข้าช่วยเหลือมาพาตัวไปที่บ้านพัก ก่อนพ่อแม่ของเด็กหญิงจะนำตัวขึ้นรถส่งโรงพยาบาลให้ช่วยชีวิต วอนอยากพบคนที่เคยให้ความช่วยเหลือเพื่อขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่ พร้อมทั้งเผยหลังจากได้รับความช่วยเหลือทำให้ตัวเองคิดได้ถึงความเอื้ออาทร เปลี่ยนนิสัยจากเด็กที่เคยเกเรมาเป็นคนที่มีจิตสาธารณะมากขึ้น
หนุ่มเยอรมันออกสำรวจจุดที่เคยประสบเหตุสึนามิถล่มเพื่อหาเส้นทางเชื่อมต่อไปหาคนที่เคยช่วยชีวิต
จากเหตุการณ์สึนามิถล่ม 6 จังหวัดอันดามัน เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียมหาศาลทั้งชีวิตของคนไทย และชาวต่างชาติ สำหรับประเทศไทยพื้นที่จังหวัดพังงา ถือว่าเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด มีผู้ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์สร้างความทรงจำให้แก่คนหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่ประสบเหตุในชะตากรรมดังกล่าว แม้ว่าเวลาจะลวงเลยไปนานแค่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องของความมีน้ำใจของคนไทย จนเป็นที่มาของเหยื่อที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิในครั้งนั้น หลายๆ คนที่ออกตามหาคนที่เคยช่วยชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับนาย Ben Atre’u Fligel (เบน อาเตรอู ฟลิเกล) ที่เคยประสบภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม บริเวณแหลมปะการัง จ.พังงา เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเขาไม่เคยลืมว่าตัวเองมีชีวิตรอดมาได้เพราะการช่วยเหลือของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

นาย Ben Atre’u Fligel (เบน อาเตรอู ฟลิเกล) กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุสึนามิถล่มเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ตนเองซึ่งขณะนั้นอายุ 15 ปี ได้เดินทางมาท่องเที่ยว และพักที่โรงแรมปะการัง บลูลากูน ตั้งอยู่บริเวณแหลมปะการัง ต.คึกคัก พร้อมกับปู่และย่า ช่วงที่เกิดสึนามินั้นตนเองออกไปเดินเล่นบริเวณชายหาดห่างจากห้องพักประมาณ 200 เมตร และขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้นก็มองเห็นคลื่นขนาดใหญ่กำลังซัดเข้าฝั่งจึงรีบวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะกลับไปยังห้องพักเพื่อไปหาปู่และย่า รวมทั้งเอาของภายในห้องพัก แต่กลับถูกคลื่นซัดเข้าไปอยู่ห้องพักโรงแรมที่เต็มไปด้วยน้ำ จึงพยามดำน้ำหนีออกมาทางหน้าต่างเพื่อไปหาที่ปลอดภัยซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าว่ายน้ำไปทางไหนแต่ก็ไปติดอยู่ในที่สูงซึ่งเป็นที่น้ำขึ้นไม่ถึง จนกระทั่งน้ำลดจึงสำรวจตัวเอง พบว่า ได้รับบาดเจ็บบริเวณขา และมีบาดแผลตามตัวหลายแห่ง และมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก
สภาพพื้นที่หลังจากคลื่นยักษ์สึนามิ
แต่ด้วยความเป็นห่วงปู่และย่า จึงได้เดินฝาซากปรักหักพังของโรงแรมที่ถูกคลื่นซัดออกมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งตนก็ได้พบกับคนหลายคนทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่ต่างก็พยายามจะหนีเอาตัวรอด บางคนก็ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตนเองพยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากคนหลายๆ คน มีบางคนที่เข้ามาช่วยพยุงบ้าง แต่เดินไปสักพักก็จะปล่อยทิ้งให้ช่วยเหลือตัวเอง เนื่องจากตนได้รับบาดเจ็บบริเวณขาทำให้เดินลำบาก ตอนนั้นมีความรู้สึกเหมือนกับถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว พยายามเดินไปหาคนที่จะช่วยเหลือได้ และต้องเดินฝ่าทะเลโคลนออกมาประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งในขณะคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่ เพราะเสียเลือดไปมากสภาพร่างกายไม่ไหว

แต่อยู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนไทยคนหนึ่ง อายุประมาณ 8-9 ปี เข้ามาช่วยพยุงตนที่กำลังหมดแรงพาเดินไปยังบ้านพักซึ่งเป็นบ้านหลังแรกๆ ที่ไม่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิทำลาย เมื่อไปถึงบ้านก็ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเด็กหญิงคนดังกล่าวทันที โดยพาตนในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสขึ้นรถกระบะไปรักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.คึกคัก ต่อมา ก็ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า แต่ด้วยอาการที่เสียเลือดมากตนเองถูกนำตัวส่งไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หลังจากรักษาตัวหายก็เดินทางกลับไปประเทศเยอรมนีทันที ซึ่งเหตุการณ์สึนามิถล่มในครั้งนั้นทำให้ปู่และย่าที่เดินทางมาเที่ยวด้วยกันเสียชีวิต ทำให้ตนไม่กล้าที่จะเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกเลย เพราะมันเป็นบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจไม่สามารถที่จะลืมเลือนได้ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวยังติดตา และฝังอยู่ในใจตลอดเวลา

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตนจะไม่ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยอีกเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ แต่สิ่งที่ตนคำนึง และระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา คือ ความมีน้ำใจ และการช่วยเหลือของเด็กผู้หญิงคนดังกล่าว เพราะถ้าไม่ได้รับบาดช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงคนนี้ ตนก็ไม่รู้ว่าจะมีชิวิตอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่ แม้ว่าช่วงที่ได้รับการช่วยเหลือจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่จุดนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตนมีชีวิตรอดกลับมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ตนมีความรู้สึกหมดหวังต่อการรอดชีวิตไปแล้ว หลังจากถูกคนหลายๆ คนปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเพราะต่างคนต่างก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเพื่อให้มีชีวิต ต่างก็บอกให้ตนซึ่งขณะนั้นอายุเพียงแค่ 15 ปี ช่วยเหลือตัวเอง

นายเบน กล่าวต่อไปว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตนเดินทางกลับมาประเทศไทย และมายืนอยู่ในจุดที่เคยประสบเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากที่ไม่เคยเดินทางกลับมาอีกเลยตั้งแต่ประสบเหตุสึนามิถล่ม การเดินทางมาครั้งก็เพื่อมาร่วมรำลึกกับเหตุการณ์ เมื่อตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทย สิ่งที่ตนตั้งใจไว้คือ การติดตามหาเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเหลือตนไว้ ซึ่งตนอยากเจอกับเด็กคนดังกล่าวอีกครั้งเพื่อขอบคุณที่เคยให้ความช่วยเหลือ และเคยให้ชีวิตตน ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่ตนทราบเพียงว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านพักแบบครึ่งปูนครึ่งไม้ และบ้านของเด็กคนดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนักและเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่นสึนามิเพราะบ้านของเด็กคนดังกล่าวไม่ถูกคลื่นซัด ซึ่งการตามหาเด็กที่ช่วยชีวิตตนไว้นั้นอาจจะยากเพราะตนไม่มีหลักฐานอะไรเลยมีเพียงภาพที่จำไว้เท่านั้น จึงอยากขอร้องให้ใครก็ตามที่รู้จักกับเด็กผู้หญิงที่มีบ้านอยู่ใกล้กับโรงแรมปะการัง บลูลากูน และพ่อมีรถกระบะ หรือตัวเด็กผู้หญิงดังกล่าวหากจำเรื่องราวที่เคยช่วยเหลือตนเองไว้ได้ให้ติดต่อตน ผ่านทางนายกันดิศ รัตนดิลา ณ ภูเก็ต หมายเลขโทรศัพท์ 08-1607-2522 ซึ่งตนจะอยู่ประเทศไทยไปจนถึงวันที่ 2 ม.ค.2558

นายเบน ยังได้กล่าวต่อไปว่า การที่เราต้องหารตามหาใครสักคนซึ่งเป็นบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ และเป็นผู้ที่ช่วยให้ตัวเองรอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และยังตามหาไม่พบนั้นทำให้ตนรู้สึกไม่สบายใจ และยังรู้สึกว่ามีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ ซึ่งตนก็หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกับเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวอีกสักครั้งในชีวิตนี้ เพราะนอกจากเด็กคนนี้จะช่วยชีวิตของตนแล้ว เขายังช่วยให้ตนเปลี่ยนนิสัยจากเด็กที่มีความเกเร ไม่เคยที่จะสนใจความรู้สึกของคนอื่น กลับมาเป็นคนที่มีนิสัยตรงกันข้าม เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ตนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้วยจิตใจที่เป็นสาธารณะมากขึ้น ซึ่งอยากที่ทราบเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ตนได้มองเห็นในหลายๆ สิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความมีน้ำใจที่เด็กผู้หญิง และครอบครัวหยิบยื่นให้แก่ตน ซึ่งเป็นภาพที่ตนจำได้จนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. เป็นต้นมา หลังจากเดินทางมาร่วมพิธีรำลึกสึนามิครบรอบ 10 ปี ที่จังหวัดพังงา นายเบน ได้ออกตามหาครอบครัวของเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวตลอดเวลา รวมทั้งเดินทางไปยังจุดที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโรงแรมที่เคยเดินทางมาพักในช่วงที่เกิดเหตุสึนามิ และสอบถามคนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้กับโรงแรม แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบตัวเด็กผู้หญิง และครอบครัวดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันนี้เด็กผู้หญิงคนดังกล่าวก็น่าจะมีอายุประมาณ 18-19 ปีแล้ว
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น