นราธิวาส - รองแม่ทัพภาค 4 เป็นประธานพิธีฌาปนกิจศพนักศึกษาหญิง ม.นราฯ เหยื่อโจรใต้ประกบยิงขณะขับ จยย.กลับหอพัก โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างสุดเศร้า และมีเหล่าข้าราชการ ประชาชนเข้าร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก พบปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับอีกคดีหนึ่ง ด้านญาติผู้ตายวอนเจ้าหน้าที่จับคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
วันนี้ (9 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่วัดบางปอ อ.เมือง จ.นราธิวาส พล.ต.นพวงศ์ สุรวิชัย รองแม่ทัพภาค 4 ได้เป็นประธานในพิธีเผาศพ น.ส.สุธิดา ตั้งใจ อายุ 20ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ คณะวิทยาการจัดการ ชั้นปีที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุคนร้ายตามประกบยิง ขณะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับเพื่อนๆ รวม 4 คน เพื่อเดินทางกลับไปยังหอพักในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เหตุเกิดบนถนนเลี่ยงเมืองสายนราธิวาส-เจาะไอร้อง ช่วงบริเวณบ้านทำเนียบ ม.6 ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 2 พ.ย.57 ที่ผ่านมา หลังจากนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้องอาร์ซียู โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เพียง 3 วัน
โดยพิธีเผาศพ มี นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผวจ.นราธิวาส พล.ต.ไพโรจน์ ทองมาเอง ผบ.ฉก.นราธิวาส ดร.จงรัก พลาศัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชครินทร์ เพื่อนนักศึกษา คณาจารย์ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และประชาชนในพื้นที่ จำนวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมพิธี เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ น.ส.สุธิดา ตั้งใจ เป็นวาระสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น พ.ต.อ.สมพร มีสุข ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส กล่าวว่า จากหลักฐานปลอกกระสุนปืนพกขนาด 9 มม. ของคนร้ายที่ทำตกไว้ในที่เกิดเหตุหลังจากประกบยิง น.ส.สุธิดา นั้น เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ตรวจสอบแล้วพบว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวคนร้ายใช้ก่อเหตุความมั่นคงในพื้นที่ จ.นราธิวาส มาแล้ว 2 คดี ซึ่งทั้ง 2 คดียังไม่คลี่คลาย แถมคดีนี้ประจักษ์พยานบุคคลไม่สามารถจดจำรูปพรรณสัณฐาน และใบหน้าของคนร้ายได้ และจุดเกิดเหตุก็เป็นถนนรอยต่อระหว่างอำเภอ ก็ไม่มีกล้องวงจรปิดที่จะสามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้ายเช่นกัน
ด้านเครือญาติของ น.ส.สุธิดา ตั้งใจ ผู้เสียชีวิต (ขอสงวนชื่อ และนามสกุล) กล่าวว่า ตนอยากเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว เพื่อดวงวิญญาณของ น.ส.สุธิดา จะได้ไปสู่สุคติ ซึ่งอย่างน้อยไม่อยากที่จะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับบิดาของ น.ส.สุธิดา ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2549 โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมคนร้ายมาลงโทษได้เลยแม้แต่คนเดียว
