โดย..เงาศิลป์
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
บนเกาะเต่า มีคนพม่าที่แปลกๆ หลายกรณี โดยเฉพาะสหายของฉันที่มีชื่อไทยว่า “ดำ” คนเกาะเรียกขานเขาตามผิวพรรณที่ดำสนิทดำจนเป็นมัน ดำอยู่ที่นี่ก่อนฉันจะนานกว่ากี่ปีก็ไม่รู้ เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งซุกเงียบใต้ร่มเงาต้นไทรใหญ่ เบียดชิดกับโขดหินสูง ทางด้านขวามือของหาดทรายกว้างยาว พื้นที่ราวสิบไร่ ริมทะเลมีต้นเทียนทะเลไม้พุ่มสวยยืนหยัดต้นท้าทายคลื่นลม อวดรากสีดำคดงอสอดสานไปมาราวเส้นสายศิลปะ เป็นที่อาศัยของปูปลาตัวเล็กๆ หลากชนิด
เหตุที่ฉันได้รู้จักดำ เพราะฉันชอบมาเล่นน้ำทะเลที่นี่ เพียงเดินมาจากที่พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ คนนี้ ไม่ยอมเผยชื่อจริงให้ใครรู้ ดำพูดไทย และอังกฤษได้ดีพอๆ กัน แต่ดำเป็นคนพูดน้อย ครั้งแรกที่เจอกัน เขานั่งอยู่ที่หน้าบ้าน ฉันขอใช้ห้องน้ำ เขาบอกยินดี จากนั้นฉันกลายเป็นแขกประจำ เพราะแวะเวียนมาบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับดำมากไปกว่าคนรู้จัก เพราะดำยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ฉันจำดำได้ดี มีอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรก เมื่อฉันถามเขาอย่างเกรงใจว่า
“ดำเป็นคนพม่าเหรอ”
ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังถาม แต่คำตอบทำเอาฉันสะอึก
“ไม่ใช่ เป็นยะไข่”
ฉันรู้ในความหมายที่ซ่อนลึกของคำตอบ จึงไม่กล้าที่จะอยากรู้เพิ่มเติม
ฉันรู้จักนักศึกษาพม่าหลายคน บางคนเสียชีวิตไปแล้วที่ชายแดนทางตอนเหนือของไทย ตอนที่ทหารพม่าถล่มอาณาจักรของกะเหรี่ยงอย่างยับเยิน ค่ายนักศึกษาพม่าที่ “ดองควิน” ตั้งอยู่ในเขตนั้นก็แหลกลาญไปด้วย หลายคนรอดชีวิตมาได้ อพยพไปอยู่ประเทศที่สามแล้ว แต่ “โจโจ้” นักศึกษาชาวยะไข่ เสียชีวิตในคราวนั้น ฉันไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของเขาจะล่องลอยรอคอยฉันให้ไปเยือนอีกครั้งหรือไม่ ตามคำสัญญาที่ฉันให้ไว้
นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ฉันพยายามจะรู้จักคนที่มาจากแถบถิ่นนั้น ทั้งยะไข่ และชาวอารากัน เพื่อลบเลือนความทรงจำบางอย่าง
การได้เจอดำ จึงรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ที่ไม่มีคำจะพูดคุย เราต่างสงวนโลกในอดีต มีเพียงโลกปัจจุบันที่สื่อสารกัน
สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือ ดำช่วยชี้แนะวิธีเอาตัวรอดบนเกาะให้ฉัน จนสามารถอยู่บนเกาะได้ยาวนาน แม้ยามไม่มีเงินสักบาทเดียว
“มัวแต่ตกปลาอย่างนี้ จะได้สักกี่ตัว เอาตาข่ายนี่ไปใช้สิ”
เขาเสนอให้ใช้ตาข่ายของเขา เมื่อเห็นฉันหิ้วปลาตัวเล็กๆ มาสองสามตัว ที่ตกด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ แค่สายเอ็นพันขวดน้ำพลาสติก และเหยื่อปลอม พอเขาเสนอให้ทดลองใช้ตาข่ายของเขาก่อน ฉันรีบตะครุบความหวังดี ไม่ใช่เพราะอยากได้ปลามากๆ แต่เพราะฉันไม่ชอบตกปลาชนิดที่ถืออยู่ มันคือปลานกแก้วที่สวยงามแสนเชื่อง เห็นแล้วชวนสงสารมากกว่าจะจับกิน ส่วนตาข่ายฉันสามารถเลือกปลาอื่นๆ ได้ ที่เหลือก็ปล่อยไป ปลาที่น่าจับมาทำกินมากที่สุดคือ ปลากระบอก มันอยู่เป็นฝูงใหญ่ เนื้ออร่อย และตากแห้งไว้กินรสชาติดี
และแล้ววันนั้น...ฉันก็ได้ปลามากมาย พอเพียงที่จะตากแห้ง กักตุนไว้กินได้หลายวัน เขายังสอนให้เรียนรู้เรื่องการขึ้นลงของน้ำ เพื่อหาจังหวะเวลาการดักจับปลา ไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าตาข่ายเป็นวันๆ ฉันจึงยึดบ้าน และชายหาดของดำ เป็นทำเลหากินนับแต่นั้นมา
ฉันได้รู้ในเวลาต่อมาว่า ที่นี่ มีการไล่ล่าจับกุมคนพม่าที่เข้าเมืองผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งดำจะรอดตัว เขาไม่เคยถูกจับได้ จนทุกคนคิดว่าเขาเป็นเด็กเส้นของคนใหญ่คนโต เจ้าของบ้าน และที่ดินที่เขาเฝ้าอยู่นั่นเอง
“จะไม่เส้นใหญ่ได้ยังไง เวลาดำไปตลาด ดำไม่เคยใช้เงิน ไปถึงก็หยิบเอาของที่ต้องการ ลงบัญชีไว้ ทางเจ้านายจะโอนเงินมาให้เอง”
ไม่มีใครรู้จักเจ้านายของดำ รู้แต่ว่าบ้าน และที่ดินตรงนั้น เป็นของบริษัทใหญ่ที่ผลิตกระจกยี่ห้อดัง (ยิ่งช่วงนั้นโด่งดังในเรื่องการขยายพื้นที่ทำเกลือสินเธาว์ หนึ่งในส่วนประกอบการผลิตกระจก จนชาวนาที่กาฬสินธุ์เดือดร้อนไปตามๆ กัน เพราะทำให้ดินเค็ม)
บริษัทซื้อที่ดินในราคา 5 ล้านบาท ตอนนี้ข่าวว่าราคาพุ่งขึ้นไปเป็น 20 ล้านบาท (ปี 2537) แต่ที่ดินชายหาดยังว่างเปล่า ปล่อยให้ฉันใช้ประโยชน์ในการหาปลาแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนเจ้าของเดิม ใช้เงิน 5 ล้านบาทหมดไปแล้ว กลายเป็นคนเสียสติ ชาวบ้านย่านตลาดวิเคราะห์ว่า สาเหตุมาจากความเสียดายจนธาตุไฟแตกซ่าน เมื่อรู้ว่าราคาที่ดินยังพุ่งกระฉูด
ส่วนเรื่องที่ดำรอดตัวทุกครั้ง ฉันไม่รู้ว่า “ดำ” เส้นใหญ่ หรือว่าเป็นที่รักของคนบนเกาะกันแน่ เพราะทุกครั้งที่มีการตรวจค้น ดำจะรู้ล่วงหน้า รีบหลบลี้หนีหายไปได้ก่อนทุกที ลำพัง “จ่าดำ” ตำรวจคนเดียวบนเกาะคงไม่อาจจับกุมใครได้ ทุกครั้งจะต้องใช้ตำรวจจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาจับกุม กว่าพวกเขาจะมาถึงต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงด้วยเรือเร็ว มีหรือที่ดำจะไม่ไหวทัน แต่ว่าใครกันเล่าที่ส่งข่าวให้เขารู้
หลายปีต่อมา ฉันกลับไปตามหาดำ สิ่งที่เห็นและข่าวคราวที่ได้รู้ คือ
“ดำเป็นไข้ตาย หลายปีมาแล้ว”
ตรงชายหาด บ้านหลังเล็กหายไป มีอาคารหรูหราขนาดหลายร้อยห้องยืนตระหง่านแทนที่ ต้นเทียนทะเลก็ล้มหายตายจากไปเช่นกัน
ฉันยืนนิ่งไว้อาลัยต่อเขา และทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
(อ่านต่อตอนที่ 5)
อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 3) บ้านน้อยกลางหุบเขา
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 2) เปิดใจเกาะเต่า
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 1) : หลงรักดงดอย แต่ต้องไปลอยคออยู่เกาะ เพราะเขาแท้ๆ
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (เกริ่นนำ)
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
บนเกาะเต่า มีคนพม่าที่แปลกๆ หลายกรณี โดยเฉพาะสหายของฉันที่มีชื่อไทยว่า “ดำ” คนเกาะเรียกขานเขาตามผิวพรรณที่ดำสนิทดำจนเป็นมัน ดำอยู่ที่นี่ก่อนฉันจะนานกว่ากี่ปีก็ไม่รู้ เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งซุกเงียบใต้ร่มเงาต้นไทรใหญ่ เบียดชิดกับโขดหินสูง ทางด้านขวามือของหาดทรายกว้างยาว พื้นที่ราวสิบไร่ ริมทะเลมีต้นเทียนทะเลไม้พุ่มสวยยืนหยัดต้นท้าทายคลื่นลม อวดรากสีดำคดงอสอดสานไปมาราวเส้นสายศิลปะ เป็นที่อาศัยของปูปลาตัวเล็กๆ หลากชนิด
เหตุที่ฉันได้รู้จักดำ เพราะฉันชอบมาเล่นน้ำทะเลที่นี่ เพียงเดินมาจากที่พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ คนนี้ ไม่ยอมเผยชื่อจริงให้ใครรู้ ดำพูดไทย และอังกฤษได้ดีพอๆ กัน แต่ดำเป็นคนพูดน้อย ครั้งแรกที่เจอกัน เขานั่งอยู่ที่หน้าบ้าน ฉันขอใช้ห้องน้ำ เขาบอกยินดี จากนั้นฉันกลายเป็นแขกประจำ เพราะแวะเวียนมาบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับดำมากไปกว่าคนรู้จัก เพราะดำยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้ฉันจำดำได้ดี มีอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรก เมื่อฉันถามเขาอย่างเกรงใจว่า
“ดำเป็นคนพม่าเหรอ”
ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังถาม แต่คำตอบทำเอาฉันสะอึก
“ไม่ใช่ เป็นยะไข่”
ฉันรู้ในความหมายที่ซ่อนลึกของคำตอบ จึงไม่กล้าที่จะอยากรู้เพิ่มเติม
ฉันรู้จักนักศึกษาพม่าหลายคน บางคนเสียชีวิตไปแล้วที่ชายแดนทางตอนเหนือของไทย ตอนที่ทหารพม่าถล่มอาณาจักรของกะเหรี่ยงอย่างยับเยิน ค่ายนักศึกษาพม่าที่ “ดองควิน” ตั้งอยู่ในเขตนั้นก็แหลกลาญไปด้วย หลายคนรอดชีวิตมาได้ อพยพไปอยู่ประเทศที่สามแล้ว แต่ “โจโจ้” นักศึกษาชาวยะไข่ เสียชีวิตในคราวนั้น ฉันไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของเขาจะล่องลอยรอคอยฉันให้ไปเยือนอีกครั้งหรือไม่ ตามคำสัญญาที่ฉันให้ไว้
นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ฉันพยายามจะรู้จักคนที่มาจากแถบถิ่นนั้น ทั้งยะไข่ และชาวอารากัน เพื่อลบเลือนความทรงจำบางอย่าง
การได้เจอดำ จึงรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ที่ไม่มีคำจะพูดคุย เราต่างสงวนโลกในอดีต มีเพียงโลกปัจจุบันที่สื่อสารกัน
สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือ ดำช่วยชี้แนะวิธีเอาตัวรอดบนเกาะให้ฉัน จนสามารถอยู่บนเกาะได้ยาวนาน แม้ยามไม่มีเงินสักบาทเดียว
“มัวแต่ตกปลาอย่างนี้ จะได้สักกี่ตัว เอาตาข่ายนี่ไปใช้สิ”
เขาเสนอให้ใช้ตาข่ายของเขา เมื่อเห็นฉันหิ้วปลาตัวเล็กๆ มาสองสามตัว ที่ตกด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ แค่สายเอ็นพันขวดน้ำพลาสติก และเหยื่อปลอม พอเขาเสนอให้ทดลองใช้ตาข่ายของเขาก่อน ฉันรีบตะครุบความหวังดี ไม่ใช่เพราะอยากได้ปลามากๆ แต่เพราะฉันไม่ชอบตกปลาชนิดที่ถืออยู่ มันคือปลานกแก้วที่สวยงามแสนเชื่อง เห็นแล้วชวนสงสารมากกว่าจะจับกิน ส่วนตาข่ายฉันสามารถเลือกปลาอื่นๆ ได้ ที่เหลือก็ปล่อยไป ปลาที่น่าจับมาทำกินมากที่สุดคือ ปลากระบอก มันอยู่เป็นฝูงใหญ่ เนื้ออร่อย และตากแห้งไว้กินรสชาติดี
และแล้ววันนั้น...ฉันก็ได้ปลามากมาย พอเพียงที่จะตากแห้ง กักตุนไว้กินได้หลายวัน เขายังสอนให้เรียนรู้เรื่องการขึ้นลงของน้ำ เพื่อหาจังหวะเวลาการดักจับปลา ไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าตาข่ายเป็นวันๆ ฉันจึงยึดบ้าน และชายหาดของดำ เป็นทำเลหากินนับแต่นั้นมา
ฉันได้รู้ในเวลาต่อมาว่า ที่นี่ มีการไล่ล่าจับกุมคนพม่าที่เข้าเมืองผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งดำจะรอดตัว เขาไม่เคยถูกจับได้ จนทุกคนคิดว่าเขาเป็นเด็กเส้นของคนใหญ่คนโต เจ้าของบ้าน และที่ดินที่เขาเฝ้าอยู่นั่นเอง
“จะไม่เส้นใหญ่ได้ยังไง เวลาดำไปตลาด ดำไม่เคยใช้เงิน ไปถึงก็หยิบเอาของที่ต้องการ ลงบัญชีไว้ ทางเจ้านายจะโอนเงินมาให้เอง”
ไม่มีใครรู้จักเจ้านายของดำ รู้แต่ว่าบ้าน และที่ดินตรงนั้น เป็นของบริษัทใหญ่ที่ผลิตกระจกยี่ห้อดัง (ยิ่งช่วงนั้นโด่งดังในเรื่องการขยายพื้นที่ทำเกลือสินเธาว์ หนึ่งในส่วนประกอบการผลิตกระจก จนชาวนาที่กาฬสินธุ์เดือดร้อนไปตามๆ กัน เพราะทำให้ดินเค็ม)
บริษัทซื้อที่ดินในราคา 5 ล้านบาท ตอนนี้ข่าวว่าราคาพุ่งขึ้นไปเป็น 20 ล้านบาท (ปี 2537) แต่ที่ดินชายหาดยังว่างเปล่า ปล่อยให้ฉันใช้ประโยชน์ในการหาปลาแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนเจ้าของเดิม ใช้เงิน 5 ล้านบาทหมดไปแล้ว กลายเป็นคนเสียสติ ชาวบ้านย่านตลาดวิเคราะห์ว่า สาเหตุมาจากความเสียดายจนธาตุไฟแตกซ่าน เมื่อรู้ว่าราคาที่ดินยังพุ่งกระฉูด
ส่วนเรื่องที่ดำรอดตัวทุกครั้ง ฉันไม่รู้ว่า “ดำ” เส้นใหญ่ หรือว่าเป็นที่รักของคนบนเกาะกันแน่ เพราะทุกครั้งที่มีการตรวจค้น ดำจะรู้ล่วงหน้า รีบหลบลี้หนีหายไปได้ก่อนทุกที ลำพัง “จ่าดำ” ตำรวจคนเดียวบนเกาะคงไม่อาจจับกุมใครได้ ทุกครั้งจะต้องใช้ตำรวจจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาจับกุม กว่าพวกเขาจะมาถึงต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงด้วยเรือเร็ว มีหรือที่ดำจะไม่ไหวทัน แต่ว่าใครกันเล่าที่ส่งข่าวให้เขารู้
หลายปีต่อมา ฉันกลับไปตามหาดำ สิ่งที่เห็นและข่าวคราวที่ได้รู้ คือ
“ดำเป็นไข้ตาย หลายปีมาแล้ว”
ตรงชายหาด บ้านหลังเล็กหายไป มีอาคารหรูหราขนาดหลายร้อยห้องยืนตระหง่านแทนที่ ต้นเทียนทะเลก็ล้มหายตายจากไปเช่นกัน
ฉันยืนนิ่งไว้อาลัยต่อเขา และทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
(อ่านต่อตอนที่ 5)
อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 3) บ้านน้อยกลางหุบเขา
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 2) เปิดใจเกาะเต่า
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (ตอนที่ 1) : หลงรักดงดอย แต่ต้องไปลอยคออยู่เกาะ เพราะเขาแท้ๆ
- “เกาะเต่า” เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง (เกริ่นนำ)