ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ชาวบ้านร้องศูนย์ดำรงธรรม พบนายทุนบุกรุกสร้างที่พักอาศัย และท่าเทียบเรือขนาดเล็ก ในคลอง ม.5 ซอยท่าเรือ ต.เกาะแก้ว จ.ภูเก็ต ทั้งที่มีป้ายของเจ้าท่าฯ ติดหรา ห้ามไม่ให้มีการปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ ระบุจากการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเป็นขุมเหมืองเก่า ยังไม่ทราบใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแล มอบอำเภอตรวจสอบมีเอกสารสิทธิหรือไม่
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (14 ส.ค.) นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต นายประพันธ์ ขันพระแสง หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม พร้อมด้วยตัวแทนจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ป่าชายเลน ตัวแทนนายอำเภอเมืองภูเก็ต ตัวแทนจากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต อบต.เกาะแก้ว ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และชาวบ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีมีชาวบ้านใช้ชื่อ ว่า “คนพื้นที่จังหวัดภูเก็ต” ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ให้ตรวจสอบกรณีมีชาวบ้าน นายทุนบุกรุกสร้างที่พักอาศัย และท่าเทียบเรือขนาดเล็ก บริเวณคลองที่ต่อเนื่องกับทะเล ติดกับบริเวณด้านหลังของโครงการท่าจอดเรือยอชต์ ในพื้นที่เกาะแก้ว บริเวณซอยศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต่อเนื่องซอยท่าเรือ ม.5 ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า บริเวณหนองน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีการเปิดขุมน้ำต่อเนื่องกับทะเล มีเรือจอดอยู่จำนวนมาก และบริเวณที่ติดกับถนนมีการก่อสร้างบ้านเรือน และที่พักอาศัยจำนวนหลายหลัง บริเวณด้านหน้ามีการติดป้ายขนาดใหญ่ซึ่งเป็นป้ายประกาศของกรมเจ้าท่า โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ที่ประกาศห้ามไม่ให้มีการก่อสร้าง หรือถมดินล่วงล้ำไปในน้ำ ใต้น้ำ เหนือน้ำ ของลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นเส้นทางสัญจรของประชาชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ไม่พบตัวของเจ้าของบ้าน หรือเจ้าของพื้นที่ หลังจากนั้น คณะได้เดินทางไปประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปกรณีการร้องเรียนดังกล่าว
ซึ่งในการประชุม นายสมเกียรติ กล่าวว่า จากการสอบถามผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งตัวแทนจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 ภูเก็ต ทราบว่า พื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นขุมเหมืองเก่า และตอนหลังมีการขุดเพื่อให้เชื่อมต่อกับทะเลแต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนเป็นคลอง จึงไม่อยู่ในความดูแลของทางสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ทางที่ประชุมจึงมีมติให้เจ้าท่านำป้ายที่ติดตั้งไว้ออกให้หมดเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อชาวบ้านเหมือนกรณีนี้ นอกจากนั้น จากการสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าชายเลยก็ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ป่าชายเลนแต่อย่างใด ในขณะที่ชาวบ้าน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีเอกสารสิทธิการครอบครองหรือไม่
ทางที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ทางอำเภอประสานกับทางสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบเรื่องของขุมเหมืองเก่าว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ รวมทั้งเรื่องของสิทธิในการครอบครอง ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่า ที่ดินดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิในการครอบครองก็ให้ทางอำเภอประสานไปยังท้องถิ่นในการดำเนินการรื้อถอนต่อไป ซึ่งการรื้อถอนนั้นก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
