ชุมพร - ตำรวจ สภ.ละแม ติดตามจับกุมคนร้ายอำมหิตฆ่าหมอดูชื่อดังในชุมพร ที่แท้เป็นหลานสาวคนสนิทเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ หวังขโมยทรัพย์สินมาเป็นใช้จ่ายเลี้ยงดูลูก
จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์ นายนาก ทองเผือก อายุ 84 ปี หมอดู และหมอตั้งศาลพระภูมิชื่อดัง ภายในห้องนอนบ้านเลขที่ 56 ม.13 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร แล้วปลดสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทอง แหวนทองคำสองสลึง 1 วงเงิน และเงินสดอีกกว่า 2 หมื่นบาท แล้วหลบหนีไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค.57 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าคดีดังกล่าว ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุทธินาถ สุดยอด ผบก.ภ.จ.ชุมพร ร่วมกับ พ.ต.อ.คมศักดิ์ ตันธนกุล ผกก.สภ.ละแม พ.ต.ท.วรพล ปานรัตน์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.จรัญ พรหมคีรี หัวหน้าพนักงานสอบสวน ร.ต.อ.นพรัตน์ มาเมือง ร้อยเวรเจ้าของคดี และชุดสืบสวน สภ.ละแม สามารถติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้วคือ น.ส.กมลรัตน์ ทองเผือก หรือเก๋ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56/1 ม.13 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของนายนาก ทองเผือก หมอดูชื่อดังที่ผู้ตายที่มีฐานะเป็นปู่ และได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังแบเบาะนั่นเอง
ด้าน พ.ต.อ.คมศักดิ์ ตันธนกุล ผกก.สภ.ละแม เปิดเผยว่า จากแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งเป้าสงสัยพฤติกรรมของ นายเดชา บัวแสง อายุ 37 ปี สามี ของ น.ส.กมลรัตน์ ทองเผือก ที่มีบ้านอยู่ใกล้กับบ้านผู้ตายห่างกันประมาณ 10 เมตร แต่นายเดชา ผู้ต้องสงสัยได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการนำตำรวจเข้าค้นบ้านของตนในวันที่ 31 พ.ค.57 ที่ผ่านมา และจากการตรวจค้นได้พบเงินสดของกลางอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า จำนวน 25,000 บาท จึงได้ควบคุมตัวทั้งสองคนไปสอบสวน และขยายผล
จนในที่สุด น.ส.กมลรัตน์ ภรรยาของนายเดชา ยอมรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่านายนาก ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของตนเอง และให้การว่า ช่วงเวลา 02.00 น.วันที่ 30 พ.ค.57 ที่ผ่านมา ตนได้แอบเข้าไปในบ้านของผู้ตายเพื่อหวังขโมยทรัพย์สิน โดยได้เตรียมก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นไปด้วย 1 ก้อน ระหว่างที่กำลังรื้อค้นทรัพย์สิน และจะปลดทรัพย์ผู้เป็นปู่วัย 84 ปี ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอน แต่นายนาก ผู้เป็นปู่ได้ตื่นขึ้นมา และร้องตะโกนขอความช่วยเหลือตน ตกใจจึงใช้ผ้าขาวม้าของผู้ตายปิดปาก และจมูก แต่ปู่ขัดขืนต่อสู้ และได้ตะโกนว่า “เก๋ช่วยด้วยๆ” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งชื่อ เก๋ ที่ปู่เรียกให้ช่วยเหลือนั้นคือชื่อเล่นของตนเอง เนื่องจากปู่คิดว่าคนร้ายเป็นผู้อื่น ตนจึงใช้ก้อนหินที่เตรียมมาทุบไปที่บริเวณศีรษะของปู่หลายครั้งจนเสียชีวิต ซึ่งตนคิดว่าแค่เพียงหมดสติ หรือสลบไปเท่านั้น แล้วจึงปลดทรัพย์สินของผู้ตายแล้วกลับเข้าบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่นายเดชา สามีนอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่องว่าตนไปไหนมา
ต่อมา น.ส.กมลรัตน์ ได้ยอมบอกที่ซ่อนของกลางที่เหลือโดยรับสารภาพว่า ได้นำไปซ่อนไว้ในกระสอบข้าวสารใกล้ๆ กับบ่อขยะหลังบ้าน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบพร้อมกับญาติของผู้ต้องหา และนำกระสอบข้าวสารดังกล่าวขึ้นมาพบก็พบของกลางเพิ่มเติมคือ เงินสด จำนวน 8,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น พร้อมพระอีก 1 องค์ แหวนทองคำน้ำหนัก 2 สลึง 1 วง
ขณะที่ น.ส.กมลรัตน์ กล่าวกับตำรวจทั้งน้ำตาว่า ตนรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนได้กระทำไป และไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่านายนาก ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ และยังเลี้ยงตนเองมาตั้งแต่ยังแบเบาะ อีกทั้งตนยังเป็นหลานที่ปู่รัก และไว้ใจอย่างมาก สามารถเดินเข้าออกบ้านของปู่ได้ตลอดเวลา แต่เนื่องจากในช่วงนี้ตนเองขัดสนเรื่องเงิน ส่วนสามีมีอาชีพทำสวน และรับจ้างทั่วไปหาเช้ากินค่ำ อีกทั้งตนก็ยังไม่ได้ทำงาน และต้องเลี้ยงลูกสาววัย 7 เดือน อีกหนึ่งคน ทำให้เกิดความเครียด และความคิดที่เลวร้ายไปชั่วขณะ จึงขอยอมรับผลกรรมในการกระทำของตน ทั้งนี้ หลังจากพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเพิ่มเติม น.ส.กมลรัตน์ ผู้ต้องหาเสร็จสิ้นลง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว น.ส.กมลรัตน์ ออกด้านหลังโรงพักเพื่อหลบไม่ให้ผู้สื่อข่าวได้ถ่ายภาพ แล้วรีบพาขึ้นรถยนต์สายตรวจอย่างรวดเร็วเพื่อพาตัวไปสั่งฟ้อง และขออำนาจศาลฝากขังยังศาลจังหวัดหลังสวนต่อไป