ตรัง - ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดตรัง เผยอากาศร้อนจัดส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกุ้ง สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก แถมเจอปัญหาราคาตกกระหน่ำซ้ำ รวมทั้งต้นทุนที่พุ่งสูงทุกด้าน
นายยุทธชัย เศรษฐอรวรรณ หรือโกหย่วน เจ้าของกำไรฟาร์ม ในฐานะกรรมการชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ในปี 2557 สถานการณ์การเลี้ยงกุ้งมีความย่ำแย่มาตลอด โดยเฉพาะในช่วงนี้ซึ่งมีอากาศที่อบอ้าวอย่างมาก จนบางวันมีอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศา อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงกว่าทุกๆ ปี ทำให้น้ำในบ่อร้อนจัด จึงส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกุ้งที่เลี้ยงไว้ และบางตัวก็ถึงกับตายลงไป จนสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงทำให้ในช่วงนี้ยังคงเหลือผู้เลี้ยงกุ้งแค่ 20-30% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะยอมพักบ่อเพื่อลดความเสี่ยงจากอากาศที่ร้อนจัด หรือเลี้ยงในปริมาณที่น้อยมาก เพียงเพื่อพยุงธุรกิจให้พออยู่รอดและเลี้ยงลูกน้องให้มีกินมีใช้ไปสักระยะหนึ่งก่อน เพราะสภาพน้ำที่เค็มจัด ทำให้กุ้งโตช้า กินน้อย และไม่ได้ขนาด ขณะที่ราคากุ้งขาวก็ตกต่ำลงมาก จากเดิมเมื่อต้นปี ขนาด 100 ตัว ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 240 บาท แต่ล่าสุด กลับลดลงมาเหลือแค่กิโลกรัมละ 150 บาทเท่านั้น หรือลดไปถึง 50% ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอยู่อย่างลำบาก
ประกอบกับยังเจอปัญหาขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์คุณภาพชั้นดี ที่ไม่มีความเสี่ยงหรือปลอดต่อโรคระบาด โดยเฉพาะโรค EMS ซึ่งเคยทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็หาพ่อแม่พันธุ์คุณภาพได้ยาก เกษตรกรจึงต้องหันมาเพาะเลี้ยงกันเอง ซึ่งก็ออกมาไม่ค่อยจะดีนัก นอกจากนั้น ยังมีปัญหาอาหารกุ้งราคาแพง และต้นทุนอื่นๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าคงต้องรอไปจนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่หน้าฝน และอากาศไม่ร้อนจัดแล้ว เกษตรกรจึงจะกลับมาเลี้ยงกุ้งอย่างจริงจังอีกครั้ง
ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดตรัง ระบุว่า ปัจจุบันเหลือเกษตรกรที่ยังคงเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ 5 อำเภอ คือ กันตัง สิเกา ย่านตาขาว ปะเหลียน และหาดสำราญ อยู่แค่ 100 ราย จากเดิมที่เคยมีอยู่ 200-300 ราย ซึ่งครึ่งหนึ่ง หรือ 50% จะเป็นรายกลาง ขนาด 20-50 บ่อ รองลงมาประมาณ 40% จะเป็นรายย่อย ขนาด 5-10 บ่อ และมีเพียง 10% ที่เป็นรายใหญ่ ขนาด 100 บ่อขึ้นไป ที่มีอยู่แค่ 4-5 รายเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ หรือประมาณ 95% จะหันมาเลี้ยงกุ้งขาว เนื่องจากมีความคงทน เลี้ยงง่าย โตวัย และให้ผลผลิตสูงกว่ากุ้งกุลาดำ
นายยุทธชัย เศรษฐอรวรรณ หรือโกหย่วน เจ้าของกำไรฟาร์ม ในฐานะกรรมการชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ในปี 2557 สถานการณ์การเลี้ยงกุ้งมีความย่ำแย่มาตลอด โดยเฉพาะในช่วงนี้ซึ่งมีอากาศที่อบอ้าวอย่างมาก จนบางวันมีอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศา อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงกว่าทุกๆ ปี ทำให้น้ำในบ่อร้อนจัด จึงส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกุ้งที่เลี้ยงไว้ และบางตัวก็ถึงกับตายลงไป จนสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงทำให้ในช่วงนี้ยังคงเหลือผู้เลี้ยงกุ้งแค่ 20-30% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะยอมพักบ่อเพื่อลดความเสี่ยงจากอากาศที่ร้อนจัด หรือเลี้ยงในปริมาณที่น้อยมาก เพียงเพื่อพยุงธุรกิจให้พออยู่รอดและเลี้ยงลูกน้องให้มีกินมีใช้ไปสักระยะหนึ่งก่อน เพราะสภาพน้ำที่เค็มจัด ทำให้กุ้งโตช้า กินน้อย และไม่ได้ขนาด ขณะที่ราคากุ้งขาวก็ตกต่ำลงมาก จากเดิมเมื่อต้นปี ขนาด 100 ตัว ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 240 บาท แต่ล่าสุด กลับลดลงมาเหลือแค่กิโลกรัมละ 150 บาทเท่านั้น หรือลดไปถึง 50% ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอยู่อย่างลำบาก
ประกอบกับยังเจอปัญหาขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์คุณภาพชั้นดี ที่ไม่มีความเสี่ยงหรือปลอดต่อโรคระบาด โดยเฉพาะโรค EMS ซึ่งเคยทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็หาพ่อแม่พันธุ์คุณภาพได้ยาก เกษตรกรจึงต้องหันมาเพาะเลี้ยงกันเอง ซึ่งก็ออกมาไม่ค่อยจะดีนัก นอกจากนั้น ยังมีปัญหาอาหารกุ้งราคาแพง และต้นทุนอื่นๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าคงต้องรอไปจนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่หน้าฝน และอากาศไม่ร้อนจัดแล้ว เกษตรกรจึงจะกลับมาเลี้ยงกุ้งอย่างจริงจังอีกครั้ง
ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดตรัง ระบุว่า ปัจจุบันเหลือเกษตรกรที่ยังคงเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ 5 อำเภอ คือ กันตัง สิเกา ย่านตาขาว ปะเหลียน และหาดสำราญ อยู่แค่ 100 ราย จากเดิมที่เคยมีอยู่ 200-300 ราย ซึ่งครึ่งหนึ่ง หรือ 50% จะเป็นรายกลาง ขนาด 20-50 บ่อ รองลงมาประมาณ 40% จะเป็นรายย่อย ขนาด 5-10 บ่อ และมีเพียง 10% ที่เป็นรายใหญ่ ขนาด 100 บ่อขึ้นไป ที่มีอยู่แค่ 4-5 รายเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ หรือประมาณ 95% จะหันมาเลี้ยงกุ้งขาว เนื่องจากมีความคงทน เลี้ยงง่าย โตวัย และให้ผลผลิตสูงกว่ากุ้งกุลาดำ
