ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ว่าฯ ภูเก็ต เปิดวงเคลียร์ปัญหาตำรวจท่าฉัตรไชย-วัยรุ่นหมากปรก หลังมีการปิดถนนเรียกร้องให้นำตัวผู้ต้องหาข่มขืนสาวท้อง 5 เดือน มาทำแผน และย้ายตำรวจ อ้างทำร้ายร่างกายวัยรุ่นในพื้นที่ บรรยากาศการเจรจาชื่นมื่นต่างขอโทษซึ่งกันและกัน ด้านวัยรุ่นเผยไม่ได้ถูกตำรวจทำร้ายร่างกายเหมือนที่เป็นข่าว ขณะที่ตำรวจย้ำเจอตัวที่ปั๊มน้ำมันเข้าไปสอบถามตามปกติ ไม่มีการพูดถึงคดีข่มขืน ผู้ว่าฯ ย้ำการทำงานต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากขึ้น พร้อมขอร้องชาวบ้านมีปัญหาอย่าปิดถนนเพราะส่งผลกระทบในภาพรวม
จากกรณีเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่บ้านไม้ขาว-บ้านหมากปรก รวมตัวปิดถนนเทพกระษัตรี ทั้งขาเข้าและขาออกจากจังหวัดภูเก็ต บริเวณสามแยกทางเข้าหมู่บ้านไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจท่าฉัตรไชย นำตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นฝาแฝดวัย 17 ปี ที่ก่อเหตุข่มขืนสาวท้อง 5 เดือน และชิงทรัพย์ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่การปิดถนนได้ลุกลามออกไป เนื่องจากมีการนำประเด็นการสอบสวนกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่บ้านหมากปรก มาเรียกร้องให้ย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนออกนอกพื้นที่ โดยมีการกล่าวอ้างว่า ตำรวจชุดดังกล่าวทำร้ายร่างกาย ซึ่งหลังมีการปิดถนนยืดเยื้อ นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้ลงพื้นที่เจรจา และรับข้อเสนอของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านยอมเปิดถนนดังกล่าว
ล่าสุด เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ห้องรับรองศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พีรยุทธ์ การะเจดีย์ พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ่มเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.สมชาย สรรประเสริฐ ผู้กำกับการสถานีตำรวจท่าฉัตรไชย พ.ต.อ.เศียร แก้วทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมืองภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย ทั้ง 4 นาย ที่ถูกชาวบ้านบ้านหมากปรก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เรียกร้องให้ย้ายออกนอกพื้นที่ มาพบปะพูดคุยทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่น 2 คน และญาติที่ถูกระบุว่าถูกตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย ควบคุมตัวไปสอบปากคำก่อนที่จะมีการจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ จนเป็นเหตุให้มีการปิดถนนเทพกระษัตรี เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีนายวิโรจน์ มานะจิตต์ กำนันตำบลไม้ขาว และเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
การพูดคุยทำความเข้าใจในครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างขอโทษซึ่งกันและกันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวัยรุ่นทั้ง 2 คน ได้ระบุอย่างชัดเจน ว่า ในวันที่เกิดเหตุตำรวจทั้ง 4 นาย ไม่ได้ควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ สภ.ท่าฉัตรไชย แต่อย่างใด และไม่ได้ทำร้ายร่างกายตามที่ได้มีการกล่าวอ้างในการชุมนุมปิดถนนเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้ง 2 คน นั้น พวกตนได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ไม้ขาว และได้มีการซักถามพูดคุยกันตามปกติ แต่ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย และในระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอดูโทรศัพท์มือถือของวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งในโทรศัพท์มือถือนั้นมีรูปถ่ายอาวุธปืนอยู่ จึงได้ขอให้พาไปที่บ้านเพื่อตรวจสอบ แต่จากการตรวจสอบไม่พบอาวุธปืนสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ก็ได้แยกย้ายกัน โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องของคดีข่มขืนสาวท้อง 5 เดือนแต่อย่างใด ซึ่งในส่วนของวัยรุ่น และญาติก็ได้กล่าวขอโทษทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งญาติบอกว่าไม่ทราบเรื่องมากก่อน
ขณะที่ตำรวจทั้ง 4 นาย ได้กล่าวขอโทษญาติ และวัยรุ่นทั้ง 2 คนด้วย พร้อมกับได้อธิบายถึงการทำงานของตำรวจชุดดังกล่าวว่า ปฏิบัติงานอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดทั้งสิ้น แต่การปฏิบัติงานบางครั้งอาจจะใช้คำพูดที่เข้มแข็งเกินไป ดูแล้วอาจจะไม่เพราะหู แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทำร้ายร่างกายของวัยรุ่นทั้ง 2 คนเลย และก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ก็ไม่เคยจับกุมวัยรุ่นทั้ง 2 คนนี้ไปสอบสวน และดำเนินคดีแต่อย่างใด เหตุการณ์ปิดถนนที่เกิดขึ้นโดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนผิด และซ้อมผู้ต้องสงสัยนั้น เป็นการปล่อยข่าวสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย เท่านั้น
“ในวันที่พบกับวัยรุ่นทั้ง 2 คน นั้นเป็นเหตุบังเอิญ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถเข้าไปเติมน้ำมัน ก็พบทั้ง 2 คน รวมทั้งพี่สาว อยู่ภายในปั๊มจึงเข้าไปสอบถามว่าเมื่อคืนวันที่ 20 ไปไหนมาบ้าง แต่ไม่มีการพูดถึงเรื่องคดีข่มขืนแต่อย่างใด หลังจากมีการสอบถามเสร็จก็แยกย้ายกันไป เพราะช่วงนั้นทางตำรวจได้รับแจ้งว่าได้เบาะแสคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในการร่วมพูดคุยระหว่างทางตำรวจ และวัยรุ่นรวมทั้งญาติต่างก็ได้กล่าวขอโทษกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจซึ่งกันและกัน
ด้านนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ฝากถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการกระทบกระทั่งดังกล่าวขึ้นมาอีกระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และชาวบ้าน ว่า ในการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องปรับตัวในการทำงานใหม่ จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติชาวบ้านมากขึ้น เพราะในปัจจุบันสื่อทางโซเซียลเน็ตเวิร์กไปเร็วมาก หากเราทำอะไรผิด หรือพูดอะไรผิดเพียงนิดเดียวก็จะรู้กันทั้งหมด จะส่งผลสะท้อนกลับมายังผู้ปฏิบัติงาน และอยากจะฝากถึงชาวบ้านด้วยว่า การปิดถนนเพื่อเรียกร้องนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนหมู่มาก และโดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง การปิดถนนจะกระทบต่อนักท่องเที่ยว และผู้ใช้รถใช้ถนนที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว จึงอยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยก่อนจะทำอะไรก็ให้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา
ส่วนการดำเนินการตามข้อเรียกร้องนั้น ก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ในเบื้องต้นก็คือ การย้ายตำรวจทั้ง 4 นายออกพื้นที่ และวันนี้เป็นมาพบปะพูดคุย และขอโทษกัน ส่วนเรื่องของการตั้งกรรมการสอบสวน ได้แต่งตั้ง พ.ต.อ.เศียร แก้วทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมืองภูเก็ต เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยจะมีฝ่ายปกครอง กำนัน และคนในพื้นที่ไม้ขาว ร่วมด้วย และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปในพื้นที่ ทางจังหวัดภูเก็ตจะลงไปทำงานด้านมวลชนให้มากขึ้น โดยในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ตนจะลงพื้นที่ไม้ขาว เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อน และความต้องการของพื้นที่เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาให้แก้คนในพื้นที่ ทั้งเรื่องของไฟฟ้าแสงสว่าง และเรื่องอื่นๆ
ขณะที่ พ.ต.อ.พีรยุทธ์ การะเจดีย์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ตำตรวจทั้ง 4 นาย ไม่มีความผิด ในส่วนของทางตำรวจก็อยากที่จะขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งทำหน้าที่ชุดสืบสวนลงไปปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่เหมือนเดิม เพราะขณะนี้ สภ.ท่าฉัตรไชย ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนเป็นอย่างมาก หากไม่ให้ทั้ง 4 นายเข้าพื้นที่การทำงานในพื้นที่ทั้งในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด และเรื่องอื่นๆ จะเกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ทางพื้นที่โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่จะรู้ดี เพราะที่ผ่านมาทำงานร่วมกับทางตำรวจตลอด
ขณะที่ พ.ต.อ.สมชาย สรรประเสริฐ กล่าวว่า เหตุการณ์การปิดถนนในครั้งนี้เกิดขึ้นจากกรณีชาวบ้านต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับทางญาติผู้เสียหายถึงเหตุผลที่ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาทำแผนได้ ซึ่งจากการพูดคุยก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่หลังจากนั้นได้มีการเปิดประเด็นใหม่ยกเรื่องของตำรวจไปสอบปากคำเด็ก กล่าวหาเด็กหมากปรก ซึ่งทางตำรวจไม่ได้มีการกล่าวว่าแต่อย่างใดว่าเด็กหมากปรกเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งในเรื่องของการสืบสวนถ้ามีข้อมูลอะไรที่มีความเป็นไปได้ก็ต้องมีการตรวจสอบ และการตรวจสอบถ้าไม่พบก็จบกันไป แต่การที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามวัยรุ่นทั้ง 2 คนในครั้งนี้อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่ทั้ง 2 คน ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วตำรวจไปบ้านใครก็ไม่มีใครชอบ แต่ตำรวจก็ต้องทำตามหน้าที่ในการหาข้อมูลต่างๆ ในการพูดคุยกันวันนั้นในส่วนของพี่สาวเองที่อยู่กับน้องชายก็ได้มีการพูดเหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรก็เอะอะไปลงที่น้องชายเค้า
อย่างไรก็ตาม ในการปิดถนนที่ผ่านมาก็ได้พูดคุยกับทางวัยุ่นทั้ง 2 คน รวมทั้งญาติ ได้มีการข้อร้องว่าจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการปิดถนนเพราะจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ส่วนปัญหาความไม่พอใจ ความไม่เข้าใจกันระหว่างตำรวจกับวัยรุ่นทั้ง 2 คน รวมทั้งญาติขอให้ไปพูดคุยกันที่สถานีตำรวจในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งมีการเสนอให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่า ถ้าจะย้ายก็ให้ย้ายตัวเองแทน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการตกลงจับมือได้ข้อยุติในส่วนของแก้ปัญหา แต่ปรากฏว่า เรื่องไม่จบมีการนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นยืนยันปิดถนนต่อ เนื่องจากมีคนบางคนที่ไม่พอใจตำรวจ ซึ่งตำรวจบางคนที่มีการกล่าวอ้างว่า เป็นคนทำร้ายเด็กวัยรุ่นนั้นออกไปจากพื้นที่ประมาณ 2 ปีมาแล้วก็ยังมีชื่ออยู่เลย จึงอยากขอความเป็นธรรมให้แก่ทางตำรวจด้วย การจับกุมผู้กระทำความผิดที่ก่อเหตุชิงทรัพย์ และข่มขืนผู้เสียหายทางตำรวจเร่งทำงานอย่างเต็มที่จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายสิ่งที่ตำรวจได้รับคือ การถูกย้ายออกจากพื้นที่
จากกรณีเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่บ้านไม้ขาว-บ้านหมากปรก รวมตัวปิดถนนเทพกระษัตรี ทั้งขาเข้าและขาออกจากจังหวัดภูเก็ต บริเวณสามแยกทางเข้าหมู่บ้านไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจท่าฉัตรไชย นำตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นฝาแฝดวัย 17 ปี ที่ก่อเหตุข่มขืนสาวท้อง 5 เดือน และชิงทรัพย์ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่การปิดถนนได้ลุกลามออกไป เนื่องจากมีการนำประเด็นการสอบสวนกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่บ้านหมากปรก มาเรียกร้องให้ย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนออกนอกพื้นที่ โดยมีการกล่าวอ้างว่า ตำรวจชุดดังกล่าวทำร้ายร่างกาย ซึ่งหลังมีการปิดถนนยืดเยื้อ นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้ลงพื้นที่เจรจา และรับข้อเสนอของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านยอมเปิดถนนดังกล่าว
ล่าสุด เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ห้องรับรองศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พีรยุทธ์ การะเจดีย์ พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ลิ่มเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.สมชาย สรรประเสริฐ ผู้กำกับการสถานีตำรวจท่าฉัตรไชย พ.ต.อ.เศียร แก้วทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมืองภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย ทั้ง 4 นาย ที่ถูกชาวบ้านบ้านหมากปรก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เรียกร้องให้ย้ายออกนอกพื้นที่ มาพบปะพูดคุยทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่น 2 คน และญาติที่ถูกระบุว่าถูกตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย ควบคุมตัวไปสอบปากคำก่อนที่จะมีการจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ จนเป็นเหตุให้มีการปิดถนนเทพกระษัตรี เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีนายวิโรจน์ มานะจิตต์ กำนันตำบลไม้ขาว และเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
การพูดคุยทำความเข้าใจในครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างขอโทษซึ่งกันและกันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวัยรุ่นทั้ง 2 คน ได้ระบุอย่างชัดเจน ว่า ในวันที่เกิดเหตุตำรวจทั้ง 4 นาย ไม่ได้ควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ สภ.ท่าฉัตรไชย แต่อย่างใด และไม่ได้ทำร้ายร่างกายตามที่ได้มีการกล่าวอ้างในการชุมนุมปิดถนนเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้ง 2 คน นั้น พวกตนได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในพื้นที่ไม้ขาว และได้มีการซักถามพูดคุยกันตามปกติ แต่ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย และในระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอดูโทรศัพท์มือถือของวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งในโทรศัพท์มือถือนั้นมีรูปถ่ายอาวุธปืนอยู่ จึงได้ขอให้พาไปที่บ้านเพื่อตรวจสอบ แต่จากการตรวจสอบไม่พบอาวุธปืนสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ก็ได้แยกย้ายกัน โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องของคดีข่มขืนสาวท้อง 5 เดือนแต่อย่างใด ซึ่งในส่วนของวัยรุ่น และญาติก็ได้กล่าวขอโทษทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งญาติบอกว่าไม่ทราบเรื่องมากก่อน
ขณะที่ตำรวจทั้ง 4 นาย ได้กล่าวขอโทษญาติ และวัยรุ่นทั้ง 2 คนด้วย พร้อมกับได้อธิบายถึงการทำงานของตำรวจชุดดังกล่าวว่า ปฏิบัติงานอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดทั้งสิ้น แต่การปฏิบัติงานบางครั้งอาจจะใช้คำพูดที่เข้มแข็งเกินไป ดูแล้วอาจจะไม่เพราะหู แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทำร้ายร่างกายของวัยรุ่นทั้ง 2 คนเลย และก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ก็ไม่เคยจับกุมวัยรุ่นทั้ง 2 คนนี้ไปสอบสวน และดำเนินคดีแต่อย่างใด เหตุการณ์ปิดถนนที่เกิดขึ้นโดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนผิด และซ้อมผู้ต้องสงสัยนั้น เป็นการปล่อยข่าวสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย เท่านั้น
“ในวันที่พบกับวัยรุ่นทั้ง 2 คน นั้นเป็นเหตุบังเอิญ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถเข้าไปเติมน้ำมัน ก็พบทั้ง 2 คน รวมทั้งพี่สาว อยู่ภายในปั๊มจึงเข้าไปสอบถามว่าเมื่อคืนวันที่ 20 ไปไหนมาบ้าง แต่ไม่มีการพูดถึงเรื่องคดีข่มขืนแต่อย่างใด หลังจากมีการสอบถามเสร็จก็แยกย้ายกันไป เพราะช่วงนั้นทางตำรวจได้รับแจ้งว่าได้เบาะแสคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในการร่วมพูดคุยระหว่างทางตำรวจ และวัยรุ่นรวมทั้งญาติต่างก็ได้กล่าวขอโทษกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจซึ่งกันและกัน
ด้านนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้ฝากถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการกระทบกระทั่งดังกล่าวขึ้นมาอีกระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และชาวบ้าน ว่า ในการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องปรับตัวในการทำงานใหม่ จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติชาวบ้านมากขึ้น เพราะในปัจจุบันสื่อทางโซเซียลเน็ตเวิร์กไปเร็วมาก หากเราทำอะไรผิด หรือพูดอะไรผิดเพียงนิดเดียวก็จะรู้กันทั้งหมด จะส่งผลสะท้อนกลับมายังผู้ปฏิบัติงาน และอยากจะฝากถึงชาวบ้านด้วยว่า การปิดถนนเพื่อเรียกร้องนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนหมู่มาก และโดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง การปิดถนนจะกระทบต่อนักท่องเที่ยว และผู้ใช้รถใช้ถนนที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว จึงอยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยก่อนจะทำอะไรก็ให้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา
ส่วนการดำเนินการตามข้อเรียกร้องนั้น ก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ในเบื้องต้นก็คือ การย้ายตำรวจทั้ง 4 นายออกพื้นที่ และวันนี้เป็นมาพบปะพูดคุย และขอโทษกัน ส่วนเรื่องของการตั้งกรรมการสอบสวน ได้แต่งตั้ง พ.ต.อ.เศียร แก้วทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมืองภูเก็ต เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยจะมีฝ่ายปกครอง กำนัน และคนในพื้นที่ไม้ขาว ร่วมด้วย และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปในพื้นที่ ทางจังหวัดภูเก็ตจะลงไปทำงานด้านมวลชนให้มากขึ้น โดยในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ตนจะลงพื้นที่ไม้ขาว เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อน และความต้องการของพื้นที่เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาให้แก้คนในพื้นที่ ทั้งเรื่องของไฟฟ้าแสงสว่าง และเรื่องอื่นๆ
ขณะที่ พ.ต.อ.พีรยุทธ์ การะเจดีย์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ตำตรวจทั้ง 4 นาย ไม่มีความผิด ในส่วนของทางตำรวจก็อยากที่จะขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งทำหน้าที่ชุดสืบสวนลงไปปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่เหมือนเดิม เพราะขณะนี้ สภ.ท่าฉัตรไชย ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนเป็นอย่างมาก หากไม่ให้ทั้ง 4 นายเข้าพื้นที่การทำงานในพื้นที่ทั้งในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด และเรื่องอื่นๆ จะเกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ทางพื้นที่โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่จะรู้ดี เพราะที่ผ่านมาทำงานร่วมกับทางตำรวจตลอด
ขณะที่ พ.ต.อ.สมชาย สรรประเสริฐ กล่าวว่า เหตุการณ์การปิดถนนในครั้งนี้เกิดขึ้นจากกรณีชาวบ้านต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับทางญาติผู้เสียหายถึงเหตุผลที่ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาทำแผนได้ ซึ่งจากการพูดคุยก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่หลังจากนั้นได้มีการเปิดประเด็นใหม่ยกเรื่องของตำรวจไปสอบปากคำเด็ก กล่าวหาเด็กหมากปรก ซึ่งทางตำรวจไม่ได้มีการกล่าวว่าแต่อย่างใดว่าเด็กหมากปรกเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งในเรื่องของการสืบสวนถ้ามีข้อมูลอะไรที่มีความเป็นไปได้ก็ต้องมีการตรวจสอบ และการตรวจสอบถ้าไม่พบก็จบกันไป แต่การที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามวัยรุ่นทั้ง 2 คนในครั้งนี้อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่ทั้ง 2 คน ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วตำรวจไปบ้านใครก็ไม่มีใครชอบ แต่ตำรวจก็ต้องทำตามหน้าที่ในการหาข้อมูลต่างๆ ในการพูดคุยกันวันนั้นในส่วนของพี่สาวเองที่อยู่กับน้องชายก็ได้มีการพูดเหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรก็เอะอะไปลงที่น้องชายเค้า
อย่างไรก็ตาม ในการปิดถนนที่ผ่านมาก็ได้พูดคุยกับทางวัยุ่นทั้ง 2 คน รวมทั้งญาติ ได้มีการข้อร้องว่าจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการปิดถนนเพราะจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ส่วนปัญหาความไม่พอใจ ความไม่เข้าใจกันระหว่างตำรวจกับวัยรุ่นทั้ง 2 คน รวมทั้งญาติขอให้ไปพูดคุยกันที่สถานีตำรวจในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งมีการเสนอให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่า ถ้าจะย้ายก็ให้ย้ายตัวเองแทน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการตกลงจับมือได้ข้อยุติในส่วนของแก้ปัญหา แต่ปรากฏว่า เรื่องไม่จบมีการนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นยืนยันปิดถนนต่อ เนื่องจากมีคนบางคนที่ไม่พอใจตำรวจ ซึ่งตำรวจบางคนที่มีการกล่าวอ้างว่า เป็นคนทำร้ายเด็กวัยรุ่นนั้นออกไปจากพื้นที่ประมาณ 2 ปีมาแล้วก็ยังมีชื่ออยู่เลย จึงอยากขอความเป็นธรรมให้แก่ทางตำรวจด้วย การจับกุมผู้กระทำความผิดที่ก่อเหตุชิงทรัพย์ และข่มขืนผู้เสียหายทางตำรวจเร่งทำงานอย่างเต็มที่จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายสิ่งที่ตำรวจได้รับคือ การถูกย้ายออกจากพื้นที่