คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
คาร์บอมบ์ย่านเศรษฐกิจในเขตเทศบาลนครยะลาผ่านไปกว่า 10 วัน แต่ในทางสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงรู้ตัว “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบางคนว่าเป็นผู้ก่อเหตุ แต่ในคดีทั้งตำรวจ และทหารยังคง “งมโข่ง” ไม่สามารถที่จะจับกุมใครมาเป็นผู้ต้องหาได้
สิ่งที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทำได้ในขณะนี้คือ การปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ และเป้าหมายที่ต้องสงสัยแบบ “เหวี่ยงแห” นำตัวผู้อยู่ในข่ายต้องสงสัยมาสอบถาม และสุดท้ายต้องปล่อยตัวไป เพราะไม่มีพยาน และหลักฐาน หรือไม่ก็เอาผิดในคดีค้างเก่าที่มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อยู่
แน่นอนว่าวิธีการเหวี่ยงแหของเจ้าหน้าที่ในทุกครั้งที่มีการก่อการร้าย นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ในการได้ตัวแนวร่วมตัวจริงที่เป็นผู้ปฏิบัติการแล้ว ยังได้ก่อให้เกิดผลเสียโดยประชาชนต่างมองว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการ “จับแพะ” และการที่หลังเกิดเหตุร้ายเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับแนวร่วมที่เป็นคนร้ายได้ ทำให้ประชาชนเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐ “ไร้ขีดความสามารถ” ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ในความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ การป้องกันเหตุร้ายไม่ได้นั่นคือความ “ล้มเหลว” ของเจ้าหน้าที่ในเบื้องต้น และหลังเกิดเหตุถ้าเจ้าหน้าที่สามารถจับคนร้ายได้ ยังนับว่าเป็นความสำเร็จที่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ แต่เมื่อป้องกันเหตุก็ไม่ได้ หลังเกิดเหตุยังจับคนร้ายไม่ได้ นั่นคือความ “ล้มเหลวซ้ำสอง” และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่แค่ล้มเหลวซ้ำสองเท่านั้น แต่เป็นการ “ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า” อีกด้วย
วันนี้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้การควบคุม และแก้ไขของ “พล.ท.วลิต โรจนภักดี” ผู้ซึ่งกระโดดเข้ามารับตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 4” ในฐานะ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” และ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่เห็นอะไรชัดเจนว่าจะมี “ยุทธวิธี” อย่างไรต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และจะ “จัดการ” อย่างไรต่อกลุ่มแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ที่ยังเคลื่อนไหวด้วยการใช้ความรุนแรง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา มีแนวร่วมที่ ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ถูกยิงเสียชีวิต แต่ที่น่าเศร้าคือมี ด.ช.อายุ 6 ขวบ ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตด้วย และนอกจากนั้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีคนร้ายลากตัวนายก อบต. ออกไปจากมัสยิด และยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
ทั้ง 2 พื้นที่คือที่ อ.บันนังสตา และที่ อ.หนองจิก เป็นพื้นที่ “สีแดง” ซึ่งโดยข้อเท็จจริงในพื้นที่นี้ “กอ.รมน.” ซึ่งเป็นผู้ควบคุมทางยุทธการต้องมีการสนธิกำลังของฝ่ายความมั่นคงทุกฝ่ายในการป้องกัน และรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และต้องเป็นไปด้วยวิธีการที่แตกต่างกับพื้นที่อื่นๆ
แต่ปรากฏว่า ในพื้นที่ 2 อำเภอดังกล่าวในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงได้สำเร็จ ก่อนหน้าที่จะมีการฆ่าแนวร่วม และลูกชายวัย 6 ขวบเสียชีวิตก็มีการฆ่าผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านรวม 3 ศพ โดยมีการ “ตัดคอ” ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่เป็นผู้หญิงด้วย อีกทั้งมีการ ทิ้ง “ใบปลิว” ของแนวร่วมว่าเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่ปล่อยให้ “อาสาสมัคร” นายหนึ่งปฏิบัติการฆ่าประชาชน
แน่นอนว่าการเสียชีวิตของแนวร่วมที่มีหมาย ป.วิอาญา โดยเสียชีวิตพร้อมลูกชายอายุ 6 ขวบที่เกิดขึ้น จะต้องกลายเป็นประเด็นที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่นำไปขยายผล และอาจจะมีการทิ้งใบปลิวว่าเป็นการกระทำของอาสาสมัครคนดังกล่าว รวมทั้งจะต้องมีการ “ตอบโต้” เพื่อเป็นการ “แก้แค้น” จากแนวร่วมในพื้นที่ โดยจะต้องมี “ไทยพุทธ” ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ถามว่าหลังจากก่อเหตุฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่เป็นไทยพุทธหลายครั้ง ก่อนที่จะฆ่าผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยฯ แบบตัดคอ 3 ศพนั้น เจ้าหน้าที่รัฐได้มี “ยุทธวิธี” รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างไรบ้าง เพราะถ้ามียุทธวิธีรับมือแล้วทำไม่จึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าแนวร่วม และลูกชายเกิดขึ้นมาได้อีก
หนึ่งในเงื่อนไขของความรุนแรงที่ อ.บันนังสตาในขณะนี้ ถ้าดูจากการปฏิบัติการของแนวร่วมในการฆ่าผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งการก่อวินาศกรรมหลายครั้ง หลังก่อเหตุต่างทิ้งใบปลิวระบุว่า เป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่ปล่อยให้อาสาสมัครรายนี้ปฏิบัติการต่อแนวร่วม หรือผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมในพื้นที่
แต่เป็นเรื่องแปลกที่สุดก็คือ ในเมื่อ “กอ.รมน.” รู้ดีว่าเงื่อนไขของความสูญเสียเกิดจากอาสาสมัครรายนี้ ทำไม่จึงไม่มีการขจัดเงื่อนไขที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยวิธีการที่ถูกต้องทั้ง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ “ฝ่ายปกครอง” ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของอาสาสมัครผู้นั้นต้องออกมาชี้แจงถึงข้อเท็จจริง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
อีกหนึ่งคำถามคือ วันนี้การดับไฟใต้ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังใช้วิธีการแบบเดิมๆ นั่นคือการ “เก็บ” ผู้ต้องสงสัยด้วยวิธีการ “ฆ่าทิ้ง” ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง สถานการณ์ของไฟใต้จะไม่มีวันมอดดับ หรือสงบลงได้ เพราะต้องมีการแก้แค้นเกิดขึ้น และหนึ่งในวิธีการแก้แค้นเพื่อเอาคืนของแนวร่วมคือ “การฆ่าผู้บริสุทธิ์” ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้า “โต๊ะอิหม่าม” ถูกฆ่า ต้องมีการฆ่า “พระ” เพื่อเอาคืน ถ้า “ครูสอนศาสนา” ถูกฆ่า “ครู” ตามโรงเรียนต่างๆ ต้องสังเวยชีพทดแทน ถ้า “เด็กผู้หญิง” ถูกฆ่า คนไทยพุทธที่เป็น “เป้าหมายอ่อนแอ” ทั้งผู้หญิง คนชรา และเด็กต้องถูกฆ่าตัดคอ หรือฆ่าแล้วเผา
วันนี้ไฟใต้ระลอกใหม่ลุกลามกินเวลามาถึงกว่า 10 ปีแล้ว “วัฏจักร” ของไฟใต้ยังคงเป็นวนเวียนอยู่ในลักษณะเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วไฟใต้จะมอดดับ หรือสงบลงได้อย่างไร
วันนี้ในหน่วยงานของ “ฝ่ายปกครอง” มี “อาสาสมัคร” จำนวนหนึ่งที่ถูกสร้างให้เป็น “เครื่องมือ” ในการ “ขจัด” ฝ่ายตรงข้ามด้วย “อาญาเถื่อน” ซึ่งวาดหวังว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เช่นเดียวกับในกองกำลังของ “ทหาร” ที่มี “ทหารพราน” จำนวนหนึ่งถูกใช้เป็น “เครื่องใช้” ในการ “ขจัด” ฝ่ายตรงข้าม โดยวิธีคิดเดียวกันด้วยความเชื่อมั่นว่าจะทำให้การก่อเหตุลดลง
นอกจากนั้น ในการสมัครเข้าเป็น “อาสาสมัคร” และเป็น “ทหารพราน” ยังถูกใช้เป็นช่องทางของผู้ที่ “สูญเสีย” ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติโกโหติกาจากฝีมือของ “แนวร่วม” สามารถที่จะใช้เป็นช่องทางในการ “แก้แค้น” ฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึง “อาวุธ” และ “อำนาจ” แถมยังมี “รายได้” เพื่อปฏิบัติการแก้แค้นให้แก่ผู้สูญเสียได้ด้วย
ถ้าสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังอยู่ใน “วัฏจักร” อย่างนี้ และ “หลักคิด” ของผู้มีอำนาจยังเป็นแบบนี้ เราก็ยังจะได้เห็น “แนวร่วม” ถูกยิงตายไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ก็จะได้เห็น “ผู้บริสุทธิ์” ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอไม่ว่าจะเด็ก สตรี และคนชรา โดยเฉพาะที่เป็น “ไทยพุทธ” ต้องสังเวยชีพอย่างไม่สิ้นสุด
“พล.ท.วลิต โรจนภักดี” แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่จะใช้ประสบการณ์ในครั้งที่เคยเป็น “ผบ.ฉก.เพชราวุธ” ที่ จ.นราธิวาส หรือจะใช้ความเป็น “บูรพาพยัคฆ์” ในการขจัดเงื่อนไขภายในของ “กอ.รมน.” อย่างไร เพราะหากเงื่อนไขภายในของหน่วยความมั่นคงเหล่านี้ยังไม่ถูกขจัดออกไป นั่นเป็นการยากยิ่งที่จะไปขจัดเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การดับไฟใต้