โดย...ตรีพิพัฒน์ บัวเนี่ยว เมือง Palmerston North, New Zealand
ศึกใหญ่ครั้งที่ 2 ระหว่างขบวนพลเมืองผู้ตื่นรู้ กับทรราชระบอบทักษิณ ขับเคี่ยวกันหนักหน่วงแรมเดือน ได้เวลาที่ควรตรวจแนวรบเพื่อสรุปผล และกำหนดก้าวย่างต่อไป
แนวรบแรกคือ “สมรภูมิกลางเมือง”
ฝ่ายพลเมืองผู้ตื่นรู้เก็บเกี่ยวชัยชนะสะสมได้ไม่น้อย อันได้แก่ ทรราชทักษิณหมดหวังกลับมากลืนเมืองชนิดเลิกนับจำนวนปีกันไปเลยว่าจะกลับเมื่อไหร่ ฝ่ายทรราชได้ตระหนักแล้วว่า ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจอีกต่อไป ฝ่ายลัทธิศาสนาเสียงส่วนใหญ่เชิงเดี่ยวได้ตระหนกตระหนักแล้วว่า เสียงส่วนใหญ่ไม่มีความหมายอะไรเลย หากไม่ได้รับความเคารพจากเสียงส่วนน้อย และจะไม่มีวันได้รับความเคารพตราบเท่าที่ยังไม่ยินยอมทบทวนฐานคิดแห่งตน
เหล่านักคิดนักวิชาการหัวเก่าเงียบเสียงลงมาก แม้อาจจะแค่ชั่วคราว เพราะคนพวกนี้ยากจะเปลี่ยนความคิด, พลังจารีตนิยมในขบวนพลเมืองลดขนาดลงมากทีเดียว นี่นับว่าเป็นผลดียิ่ง เพราะกลุ่มพลังจารีตนิยมแม้เป็นกลุ่มเล็กในฝ่ายพลเมือง แต่ก็ทุ่มเทต่อสู้มาโดยตลอด เพียงแต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ทันกับเพื่อนพลเมืองส่วนใหญ่
ฝ่ายพลเมืองเองได้ตระหนักถึงขนาด และพลังที่แท้จริงของตนเองว่า มีมากพอทัดทานต่อสู้เผด็จการทรราชได้ ส่วนขบวนมวลชนแดงแตกพ่ายไป แม้ไม่หมดสิ้น แต่ก็เกือบหมดสภาพ และการปลุกปั่นความเกลียดชังคั่งแค้นด้วยความเท็จ เพื่อนำไปสู่เกมความตายของแกนนำแดง ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
แนวรบที่สองคือ “สมรภูมิสากล”
จากสภาพเดิมที่แผนการโลกล้อมไทยของฝ่ายทรราชได้ผลไม่น้อย มิใช่เพราะพวกนั้นเก่ง แต่เพราะสังคมฝรั่งยังยากจะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ชุดความคิดที่ฝรั่งยึดถือ กับชุดความคิดที่พวกทรราช และนักวิชาการหัวเก่าของไทยที่เป็นหางเครื่องทรราชใช้อธิบายนั้น เป็นชุดความคิดเดียวกัน อย่างน้อยก็ในระดับเปลือก
แต่มาคราวนี้ฝ่ายพลเมืองตีตื้นขึ้นมาได้มาก แม้นับว่ายังเสียเปรียบอยู่ก็ตาม สังคมฝรั่งเริ่มมองอย่างสงสัยใคร่รู้มากขึ้น เปิดใจรับฟังมากขึ้น นี่เป็นงานหนักที่ฝ่ายพลเมืองต้องทำต่อไป เป็นแนวรบที่ต้องวางยุทธศาสตร์การรุกต่ออย่างสำคัญ เพราะสถานการณ์ในเมืองไทยนั้น เป็นแนวหน้าของโลกในชุดเหตุการณ์แห่งยุคสมัย ที่ต่อไปจะแพร่ระบาดไปทั่วโลก ความรู้ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศอื่นๆ ต่อไป
แนวรบที่สามคือ “สรภูมิสื่อ”
ฝ่ายพลเมืองได้สร้างสรรค์ช่องทางการสื่อสารของตัวเอง ด้วยสื่อสมัยใหม่ทั้งหลายได้อย่างทรงพลังที่สุด ศึกครั้งนี้นับว่าขับเคลื่อนด้วยสื่อสมัยใหม่ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กอย่างแท้จริง นักรบออนไลน์ทั้งหลายฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามจนหมดทางสู้
อย่างไรก็ตาม ในสื่อเก่าที่ยังทรงพลังต่อสังคม เช่น สื่อโทรทัศน์ นับว่าฝ่ายพลเมืองยังแพ้ ซึ่งเมื่อแจงสาเหตุออกมาแล้วจะพบว่า มีทั้งเพราะฝ่ายรัฐบาลทรราชมีอำนาจเหนือสื่อเหล่านี้ และเพราะสื่อเหล่านี้สนใจทำมาหากิน ค้ากำไร มากกว่าสนใจชาติบ้านเมือง แต่สาเหตุสำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่บุคลากรของสื่อเหล่านี้ยังคงถูกครอบงำด้วยทัศนะ และชุดความคิดเก่าๆ พวกเขามีอาการอย่างเดียวกับนักวิชาการหัวเก่าทั้งหลายในการมองปัญหา บรรดาผู้ร่วมรายการที่สื่อเหล่านี้เชิญมาร่วมรายการอย่างซ้ำซากเกี่ยวกับการต่อสู้ของพลเมือง เป็นสิ่งสะท้อนชัดอยู่ในตัวเอง
นี่เป็นสิ่งสะท้อนด้วยว่า สมรภูมิทางความคิดในการที่ฝ่ายพลเมืองต้องต่อสู้กับชุดความคิดค้างเก่าทั้งหลายในสังคมไทยนั้นสำคัญเพียงใด
แนวรบสุดท้าย แนวรบสำคัญที่สุดคือ “สมรภูมิทางความคิด”
โดยรวมนับว่ายังแพ้อยู่ แม้จะตีตื้นขึ้นมาได้ระดับหนึ่งก็ตาม ทั้งนี้เพราะชุดความคิดเก่าของโมเดลประชาธิปไตยยุคเครื่องจักรไอน้ำ แลลัทธิเสียงส่วนใหญ่เชิงเดี่ยวนั้น ผูกขาดการอธิบายมานานหลายสิบปี ตัวบุคคลของฝ่ายนั้นหลายๆ คนมีชื่อเสียงมาก มีเครือข่ายความสัมพันธ์ใหญ่โต ทั้งรุ่นอาวุโส เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ เกษียร เตชะพีระ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยังมีรุ่นกลางๆ ตามมา เช่น ยุกติ มุกดาวิจิตร เป็นต้น และพวกเขายังสามารถผลิตคนรุ่นใหม่ๆ มาได้อย่างต่อเนื่อง
สมรภูมิทางความคิดนี้ ฝ่ายพลเมืองยังขาดยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิงในการต่อสู้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการผลิตคำอธิบายที่ทรงพลังสื่อสารแนวคิดสังคมใหม่ๆ ออกไป เพื่อตีแนวคิดเก่าๆ ให้ตกเวทีประวัติศาสตร์ไปในที่สุด
สรุปผล “แพ้-ชนะ”
ฝ่ายพลเมืองผู้ตื่นรู้ได้สะสมแต้มชัยชนะไปหลายมิติ ดังที่ได้อธิบายแล้ว แต่ฝ่ายทรราชระบอบทักษิณก็ยังไม่พ่ายแพ้หมดรูป ยังคงแข็งแรง เพียงแต่ถูกรุกกินแดนไปมากมายเท่านั้น
สำหรับมวลชนเสื้อแดงที่เป็นชาวบ้านพื้นฐานนั้น จะว่าพ่ายแพ้ก็ไม่เชิงนัก เพราะอยู่ในฐานะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ผู้ที่พ่ายแพ้หมดรูปจริงๆ คือ พวกแกนนำเสื้อแดง ที่ไม่เคยคิดอะไรออกเลยในการนำมวลชน นอกไปเสียจากความเท็จ ความเกลียด ความคลั่ง และความตาย ซึ่งเป็นแนวทางที่แม้แต่ชาวบ้านเสื้อแดงเองก็เริ่มไม่เอาด้วยแล้ว หลังจากประกาศอย่างฮึกเหิมว่าจะยกพลทุกสารทิศเข้าช่วยรัฐบาลทรราช แต่พยายามอยู่แรมเดือนก็จุดม็อบไม่ติด สุดท้ายก็หมดมุก หันไปเล่นเกมความตาย จนหมดความชอบธรรม ยิงลูกบอลเข้าประตูตัวเองแตกพ่ายไปในชั่วข้ามคืน
จากที่อวดว่าจะมาช่วยรัฐบาล พอจะแตกพ่ายก็อ้างว่าอยู่ไปก็เป็นภาระรัฐ นี่เป็นการใช้คำอย่างเบาที่สุดแล้ว เพราะจริงๆ คือ อยู่ไปก็เป็นตัวซวยพาให้รัฐบาลแพ้ และนับจากนี้ก็จะหากินกับระบอบทักษิณได้ยากแล้ว เพราะเขาย่อมไม่ขุนเลี้ยงพวกที่กินเปลือง แต่เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด เหมือนพวกแกนนำแก๊ง นปช.
มองไปข้างหน้า แนวรบทั้ง 4 นี้ ฝ่ายพลเมืองต้องฝักใฝ่สนใจ คิดการต่อสู้เป็นการเฉพาะไปในแต่ละแนวรบ ในทำนองแยกกันเดิน แต่ส่งผลโดยรวมตีกระหน่ำไปที่อำนาจเผด็จการทรราช และชุดความคิดเก่าที่เป็นพลังแนวร่วม การต่อสู้คราวนี้ฝ่ายพลเมืองสามารถรุกคืบไปได้ทุกแนว แต่ก็ยังมิใช่วันแห่งชัยชนะสมบูรณ์แต่อย่างใด ยังคงต้องต่อสู้กันอีกนาน
เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ที่สุดท้ายแล้วขบวนพลเมืองผู้ตื่นรู้จะสามารถทำการอภิวัฒน์สังคมไทยได้สำเร็จอย่างแน่นอน.