คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย... บรรจง นะแส
“รถไถญี่ปุ่นมาๆๆ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกๆ จากเพื่อนเด็กวัดดังขึ้น จ้อนวิ่งออกไปหน้าวัดตามคนอื่นๆ รถไถดินสีเหลืองคันใหญ่ๆ ที่จ้อนไม่เคยเห็นมาก่อน วิ่งตามหลังกันมา 3-4 คัน ผู้คนแตกตื่นกันวิ่งมาห้อมล้อมมุงดูรถไถญี่ปุ่นที่กำลังคืบคลานตามหลังกันมา ผู้คนออกกันมากันทั้งหมู่บ้าน เขาบอกว่าเขาจะเอารถไถมาฝากไว้ที่ในวัด เขาจะมาทำถนนให้บ้านของเรา เพื่อให้เดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวกขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
เส้นทางระหว่างชุมชนของเราและตัวเมืองเป็นถนนดินแดง ผู้ใหญ่เล่าว่าการไปในเมืองแต่ละครั้งต้องรอนแรมค้างคืนตามชุมชนที่ผ่าน ส่วนใหญ่เดินเท้า และพัฒนามาเป็นเกวียนเทียมด้วยวัวหรือควาย ก๋งเคยเล่าให้จ้อนฟังว่าสินค้าที่เอาไปขายในเมืองคือใบพลูที่ใช้กินกับหมาก น้ำมันมะพร้าว มันสำปะหลัง หัวเผือก เส้นยาสูบ สิ่งที่ซื้อมาจากในเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นเสื้อผ้า และอุปกรณ์ในการทำนา ทำสวน พวกจอบ เสียม พร้า ขวาน และผานไถนา (ผานไถนาเป็นเหล็กหล่อเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดประมาณฝ่ามือ ใช้ในการประกอบกับไม้ที่เรียกว่าหัวหมู โดยเอาไม้ที่มีกิ่งขนาดใหญ่ถากให้เป็นหัวคันไถ ตรงด้านที่เป็นหัวคันไถก็จะใช้ผานไถหุ้มตรงปลายเพื่อให้สามารถไถไปในดินโดยสะดวก)
รถยนต์คันแรกที่วิ่งมาในหมู่บ้านของเราใช้ถ่านไม้ฟืนในการเดินเครื่องยนต์ เป็นรถจักรไอน้ำ ต้องแวะเอาเชื้อเพลิงเติมเป็นระยะๆ โครงสร้างของรถทำด้วยไม้มากกว่าเหล็ก การมีรถไอน้ำเข้ามาทำให้การเข้าเมืองสามารถไปเช้ากลับเย็นได้ แต่รถมีเพียงคันเดียวทั้งตำบล การใช้เกวียนเทียมวัวความและเดินเท้ายังเป็นวิถีหลัก เส้นทางเข้าเมืองซึ่งลัดเลาะผ่านไปตามทุ่งนาบ้าง สวนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย แต่ละชุมชนบนเส้นทางผ่าน มักมีศาลา และที่ขาดไม่ได้คือบ่อน้ำ อุปกรณ์ในการตักน้ำส่วนใหญ่ทำด้วยกาบหมาก หรือกาบต้นหลาโอน ที่บรรจงเย็บถักด้วยย่านลิเพาอย่างสวยงามแขวนไว้กับง่ามกิ่งไม้ริมบ่อ
การเข้ามาของรถไถญี่ปุ่นเป็นข่าวที่ครูในโรงเรียนบอกกล่าวพวกจ้อนในห้องเรียนอยู่เสมอๆ ว่าตอนนี้มันไถมาถึงไหนๆ และแล้ววันนี้มันก็ไถมาถึงหมู่บ้านของพวกเรา
“นี่เป็นค่าชดเชยที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม” ท่านเจ้าอาวาสเคยบอกไว้ จ้อนปะติดปะต่อเรื่องราวได้เท่านั้น
คืนวันนั้น จ้อนและเพื่อนร่วมวัดสังเกตเห็นแสงเทียน และเงาตะคุ่มๆ ของชายชรา 4-5 คนเดินไปที่หมู่ต้นไทรที่หน้าวัด ลุงโยภารโรงและสายสืบของครูในโรงเรียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เทียนถูกจุดขึ้นหลายเล่มรอบๆ โคนต้นไทร ส่วนต้นอื่นๆ ก็จะมีการจุดธูปไปวาง กลิ่นธูปควันเทียนหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ แต่บรรยากาศอึมครึมยิ่งนัก ครูหมออิ่มเป็นคนนำทำพิธีอะไรสักอย่างที่เด็กๆ อย่างพวกจ้อนไม่เข้าใจ เพียงสังเกตได้จากน้ำเสียงและแววตาของผู้เฒ่าทั้งหลายว่าเคร่งเครียด และแต่ละคนไม่มีอารมณ์ขันเหมือนโอกาสอื่นๆ ที่พวกเขาสุมหัวกัน เมื่อบรรยากาศเป็นเช่นนั้นพวกจ้อนก็พาตัวเองกันออกมาอย่างเงียบๆ กลับกุฏิใครกุฏิมัน
จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน ถนนที่มีเส้นทางเล็กๆ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยระหว่างบ้าน ต้นไทรใหญ่ๆ ที่หน้าวัด หรือแม้แต่ป่าเปลวผีดิบข้างวัด ก็ถูกรถไถญี่ปุ่นไถโค่น กวาดทำถนนราบเป็นแถบๆ รวมทั้งหมู่ต้นไทรที่หน้าวัด
“กูว่าแล้วต้องได้เรื่อง... ไม่เชื่อกู” ลุงโยภารโรงที่โรงเรียนยืนเท้าสะเอวคุยกับกลุ่มชาวบ้านที่จับกลุ่มซุบซิบกันที่ริมรั้วโรงเรียน
“ขนาดตอนกูเมาเผลอไปยืนเยี่ยวรดที่โคนต้น ยังป่วยซมไปเป็นอาทิตย์ๆ ต้องไปหาครูหมอมาทำพิธีขอโทษขอโพยถึงจะหาย นี่มันเล่นไถยกต้นยกโคน ไม่ตายห่าคารถไถกูว่าก็บุญถมเถไปแล้ว”
ลุงโยเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เคยไปทำความผิดเอาไว้กับต้นไทรหน้าวัด ที่วันนี้โดนรถไถญี่ปุ่นไถล้มระเนระนาดอยู่ข้างทาง และคนขับรถไถทั้ง 3 คนกำลังนอนซมลุกไม่ไหวด้วยอาการอ่อนล้าอ่อนเพลียเพราะอาการท้องเสียขี้ไหลมาตลอดทั้งคืน
เย็นวันนั้น ในศาลาวัดก็คลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่เข้ามารายล้อม เพื่อดูการทำพิธีขอขมาลาโทษต้นไทรหน้าวัดให้กับคนขับรถไถญี่ปุ่นทั้ง 3 คน ที่นอนระทวยหมดแรงขี้ไหลตลอดเวลาอยู่บนศาลาวัด พระคุณเจ้า 9 รูปทำพิธีสวดมนต์ ด้านหน้ามีหม้อน้ำมนต์ขนาดใหญ่รายล้อมด้วยด้ายขาว กลิ่นธูปควันเทียนโขมงไปทั้งศาลาวัด ครูหมอสวมใส่ชุดขาวมอๆ นั่งภาวนาปากขมุบขมิบเป็นชั่วโมง ก่อนจบท่านพรมน้ำมนต์ให้คนขับรถจนหนาวสะท้านไปทั้งร่าง จ้อนและเพื่อนๆ เด็กวัดขยับกายแทรกเข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้ได้มีโอกาสได้รับน้ำมนต์บ้างสักหยดสองหยด แล้วจ้อนก็ปลีกตัวออกมา จ้อนเดินไปที่กลุ่มขาขี้เมาของหมู่บ้านที่จับกลุ่มกันริมรั้ววัด ด้วยอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน
“ไอ้ห่า... กูก็ขี้ไหลเพิ่งหยุดเมื่อเช้านี่เอง หลังจากไปเก็บยอดฝรั่งเคี้ยวไปสองกำมือ กูว่าประพรหมน้ำมนต์ให้ตายก็ไม่หายหรอก เพราะหวาก (กะแช่) ของไอ้เณรแดงเมื่อวานน่ะ มันเปรี้ยวมากๆ เพราะหมักไม่ดี มัน 3 คนก็แวะไปกินหวากเณรแดงกับพวกกู พวกกูก็ขี้ไหลกันทุกคน ไม่เห็นเกี่ยวกับต้นไทรหน้าวัดตรงไหน” ลุงเขียวขาเมาประจำกลุ่มเปรยบอกเรื่องราวให้พรรคพวกฟัง
……………