ตรัง - หน่วยงานทหารรุดเข้าชี้แจงกรณีพลทหารสิทธิพงศ์ หลักศิลา ชาวตำบลนาเมืองเพชร เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำหลังจากไปปฏิบัติหน้าที่ใน จว.ชายแดนใต้ พร้อมยอมรับข้อผิดพลาด และหาทางเยียวยาอย่างเต็มที่
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (19 ก.ย.) พ.อ.ธนตม์ พิศาลสิทธิวัฒน์ เสนาธิการหน่วย ฉก.สงขลา พร้อมกับ พ.อ.เกรียงศักดิ์ วัฒนเกริก ผบ.ร.15 พัน 4 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ จ.ตรัง ได้เดินทางมายังวัดเขาแก้ว ตำบลนาเมืองเพชร อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เพื่อร่วมพบปะกับ นายบุญเจริญ และนางละมุล หลักศิลา 2 สามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 97 หมู่ที่ 2 ตำบลนาเมืองเพชร อำเภอสิเกา พร้อมด้วยญาติพี่น้อง และชาวบ้านประมาณ 50 คน หลังจากที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ลูกชาย คือ พลทหารสิทธิพงศ์ หลักศิลา หรือน้องอ๊อด อายุ 25 ปี สังกัด ม.พัน 16 ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถูกส่งไปปฏิบัติราชการภาคสนาม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สังกัดหน่วย ฉก.สงขลา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา หน่วยงานต้นสังกัดได้มีการนำศพของ พลทหารสิทธิพงศ์ ส่งมาให้ญาติพี่น้องตั้งบำเพ็ญกุศลศพ ณ วัดเขาแก้ว แต่ไม่บอกกล่าวถึงสาเหตุที่ชัดเจนของการเสียชีวิตว่าเกิดมาจากเรื่องใด อีกทั้งลักษณะของการลำเลียงศพมาก็ดูไม่สมเกียรติ เช่น ไม่มีการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ไม่มีกองเกียรติยศตั้งแถวต้อนรับ หรือไม่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ติดตามมาด้วย แตกต่างไปจากการลำเลียงศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทหารนายอื่นๆ ที่เสียชีวิตมาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทั่งมาทราบในภายหลังว่า เกิดจากอุบัติเหตุถูกปืนลั่นใส่โดยเพื่อนพลทหารร่วมชุด จึงทำให้ญาติพี่น้องของ พลทหารสิทธิพงศ์ ต้องออกมารวมตัวเพื่อขอความเป็นธรรม เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ล่าช้า ไม่ชัดเจน และไม่สมเกียรติ
ทั้งนี้ พ.อ.ธนตม์ พิศาลสิทธิวัฒน์ เสนาธิการหน่วย ฉก.สงขลา ชี้แจงว่า หลังจากเกิดเหตุ ทางต้นสังกัดได้รีบประสานส่งตัว พลทหารสิทธิพงศ์ ไปรักษาที่ รพ.เทพา และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งมาเสียชีวิตลงในที่สุด จึงพยายามติดต่อกับทางครอบครัว เพื่อลำเลียงศพมาส่งยังวัดเขาแก้ว แต่เนื่องจากในวันดังกล่าวผู้บังคับบัญชา และ ฮ.ต่างก็ติดภารกิจ จึงใช้วิธีการขนส่งศพด้วยรถตู้มายังพื้นที่บ้านเกิด โดยที่ ผบ.หน่วย ฉก.สงขลา ได้สั่งการให้ดูแลทุกอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากชุดที่ พลทหารสิทธิพงศ์ สวมใส่มีเลือดเปื้อน และมีเวลาจำกัด จึงจำเป็นต้องให้สวมใส่ชุดอื่นมาแทนก่อน รวมทั้งยอมรับในความผิดพลาดที่มิได้จัดชุดกองเกียรติยศมาตั้งแถวรอรับศพ และจัดการศพของ พลทหารสิทธิพงศ์ อย่างสมเกียรติ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงกลางคืน และขณะนั้นก็ยังมีความชุลมุนวุ่นวายจึงทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการสืบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อให้แน่ใจว่าการเสียชีวิตของ พลทหารสิทธิพงศ์ มาจากอุบัติเหตุปืนลั่นจากเพื่อนพลหทารร่วมชุด มิได้เป็นการฆ่าตัวเอง หรือถูกซุ่มโจมตีจากฝ่ายก่อความไม่สงบ จึงทำให้ต้องใช้เวลาสรุปสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิต ก่อนที่จะแจ้งให้ญาติทราบ พร้อมยืนยันว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อคนผิดตามกระบวนการยุติธรรมโดยไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน ต่อมาทางหน่วย ฉก.สงขลา ก็ได้ประสานร่วมกับ ร.15 พัน 4 จ.ตรัง จัดกำลังทหารมาคอยดูแล และอำนวยความสะดวกสำหรับการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพให้อย่างสมเกียรติ และอย่างเต็มที่
นอกจากนั้น ทั้งทางกองทัพบก หน่วย ฉก.สงขลา และฝ่ายปกครอง ก็กำลังอยู่ระหว่างการประสานเพื่อหาทางเยียวยาให้แก่ครอบครัวของ พลทหารสิทธิพงศ์ แต่เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มิใช่จากสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เบื้องต้นจะช่วยเหลือเงินไปให้ก่อนประมาณ 100,000 บาทเศษ หลังจากนั้น จะประสานเพื่อขอการช่วยเหลือเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เช่น การขอพระราชทานเพลิงศพ การเลื่อนชั้นยศเป็นสิบเอก การขอให้น้องสาวของผู้เสียชีวิตคนใดคนหนึ่ง ได้รับการบรรจุเป็นทหารแทนพี่ชาย การจัดมอบเงินบำนาญให้แก่พ่อแม่ของผู้เสียชีวิต รวมทั้งการจัดหาเงิน และการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เพราะแม้ว่า พลทหารสิทธิพงศ์ จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ก็นับเป็นผู้เสียสละที่ออกไปปฏิบัติงานเพื่อประเทศชาติเหมือนกับทุกๆ คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหารือระหว่างฝ่ายทหาร กับฝ่ายญาติพี่น้องของ พลทหารสิทธิพงศ์ ในครั้งนี้ ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้มีการซักถามประเด็นข้อสงสัยต่างๆ อย่างดุเดือด ทำให้บางช่วงบรรยากาศเกิดความตึงเครียด แต่ทุกอย่างก็เริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ หลังจากที่ฝ่ายทหารยอมรับในข้อผิดพลาดต่างๆ ทั้งหมด รวมทั้ง พระครูสังวรธรรมโชติ เจ้าอาวาสวัดโคกยาง จังหวัดตรัง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของ พลทหารสิทธิพงศ์ ได้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายญาติพี่น้องของ พลทหารสิทธิพงศ์ ยอมรับข้อเสนอ แต่ก็จะขอเฝ้าติดตามต่อไปว่า สุดท้ายแล้วจะมีการเยียวยาช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิตในทิศทางใดอย่างไร