กระบี่ - ชาวสวนยางที่กระบี่ หันมาทำยางถ้วยขายแทนยางแผ่น เหตุต้นทุนต่ำ ประหยัดแรงงาน และไม่มีการเก็บได้ขายทันที เพราะไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมให้มีการประกันราคาได้
ภายหลังจากที่เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ได้มีการปิดถนนชุมนุมประท้วง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคายางพารา อยู่ที่กิโลกรัมละ 100-120 บาท เป็นเวลาติดต่อกันนานร่วม 8 วัน บรรยากาศตามร้านรับซื้อเศษยางในจังหวัดกระบี่ ก็ยังเป็นไปตามปกติ ชาวสวนยาง ยังคงกรีดยาง และนำยางออกมาขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการกักตุนไว้เพื่อรอขาย เนื่องจากแต่ละวันจำเป็นต้องใช้จ่ายในครอบครัว และไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องได้
นายกอบศักดิ์ แต้มแก้ว อายุ 43 ปี พ่อค้ารับซื้อเศษยางในตำบลทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีเกษตรกรนำผลผลิตยางพาราออกมาขายตามปกติ ไม่มีการชะลอการขายเพื่อรอให้มีการปรับราคาขึ้นมาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะปรับราคายางพาราขึ้นมาได้ ขณะที่ชาวบ้านมีภาระค่าใช้จ่ายทุกวัน แต่จากเดิมที่เกษตรกรเคยขายผลผลิตที่เป็นยางแผ่นดิบ ก็เปลี่ยนมาทำเป็นยางถ้วย หรือเศษยางแทน เนื่องจากต้นทุนต่ำ ขาดทุนน้อยลง
ซึ่งปัจจุบัน เศษยางมีราคา กก.ละ 34-38 บาท แต่ไม่เสียเวลาต้องทำแผ่น ซึ่งถ้าหากราคายางแผ่นดิบมีการปรับราคาขึ้น กก.ละ 120 บาท ราคาเศษยางก็จะปรับราคาขึ้นมาก กก.ละ 60-70บาท ซึ่งราคานี้เมื่อเทียบกับยางที่แปรรูปแล้วก็ไล่เลี่ยกันเนื่องจากยางแปรรูจะมีต้นทุนสูงกว่าเพราะต้องแปรรูป
ด้านเกษตรกรชาวสวนยาง ระบุว่า ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ประกันราคายาง กก.ละ 120 บาท ก็ต้องประกอบอาชีพตามปกติ เพราะประชาชนในภาคใต้ อาชีพหลักคือ อาชีพการเกษตร สวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ทุกๆ ครอบครัว แต่หากว่ารัฐบาลช่วยในเรื่องของการปรับราคาได้ เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้คงจะไม่เดือดร้อน
ภายหลังจากที่เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ได้มีการปิดถนนชุมนุมประท้วง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคายางพารา อยู่ที่กิโลกรัมละ 100-120 บาท เป็นเวลาติดต่อกันนานร่วม 8 วัน บรรยากาศตามร้านรับซื้อเศษยางในจังหวัดกระบี่ ก็ยังเป็นไปตามปกติ ชาวสวนยาง ยังคงกรีดยาง และนำยางออกมาขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการกักตุนไว้เพื่อรอขาย เนื่องจากแต่ละวันจำเป็นต้องใช้จ่ายในครอบครัว และไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องได้
นายกอบศักดิ์ แต้มแก้ว อายุ 43 ปี พ่อค้ารับซื้อเศษยางในตำบลทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีเกษตรกรนำผลผลิตยางพาราออกมาขายตามปกติ ไม่มีการชะลอการขายเพื่อรอให้มีการปรับราคาขึ้นมาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะปรับราคายางพาราขึ้นมาได้ ขณะที่ชาวบ้านมีภาระค่าใช้จ่ายทุกวัน แต่จากเดิมที่เกษตรกรเคยขายผลผลิตที่เป็นยางแผ่นดิบ ก็เปลี่ยนมาทำเป็นยางถ้วย หรือเศษยางแทน เนื่องจากต้นทุนต่ำ ขาดทุนน้อยลง
ซึ่งปัจจุบัน เศษยางมีราคา กก.ละ 34-38 บาท แต่ไม่เสียเวลาต้องทำแผ่น ซึ่งถ้าหากราคายางแผ่นดิบมีการปรับราคาขึ้น กก.ละ 120 บาท ราคาเศษยางก็จะปรับราคาขึ้นมาก กก.ละ 60-70บาท ซึ่งราคานี้เมื่อเทียบกับยางที่แปรรูปแล้วก็ไล่เลี่ยกันเนื่องจากยางแปรรูจะมีต้นทุนสูงกว่าเพราะต้องแปรรูป
ด้านเกษตรกรชาวสวนยาง ระบุว่า ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ประกันราคายาง กก.ละ 120 บาท ก็ต้องประกอบอาชีพตามปกติ เพราะประชาชนในภาคใต้ อาชีพหลักคือ อาชีพการเกษตร สวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ทุกๆ ครอบครัว แต่หากว่ารัฐบาลช่วยในเรื่องของการปรับราคาได้ เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้คงจะไม่เดือดร้อน
