สุราษฎร์ธานี - 2 พ่อลูกชาวสวนยางพารา จังหวัดสุราษฎร์ธานี บุกเข้ายื่นหนังสือขอความเมตตาจาก รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อนายศักดิ์ดา นพสิทธิ เลขานุการฯ ขณะเป็นตัวแทนเดินทางมาเปิดกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลก
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 จ.สุราษฎร์ธานี นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ นายศักดิ์ดา นพสิทธิ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการเปิดกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 จัดอบรมพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 500 คน พร้อมสร้างจิตสำนึก และเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนในการฟื้นฟู สงวน อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากร ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และยังสร้างกลไกการเชื่อมโยงและประสานงานระหว่างอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันปราบปราม เพื่อบูรณาการทุกภาคส่วนในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งมีตำรวจ ฝ่ายปกครอง แกนนำชุมชน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลน สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
หลังจากนั้น คณะเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเดินทางไปตรวจพื้นที่ป่าพรุคันธุลีที่ถูกบุกรุก พร้อมทั้งร่วมปลูกป่าในพื้นที่ที่มีการบุกรุก บริเวณพื้นที่สาธารณะประโยชน์ป่าพรุคันธุลี ม.ที่ 5 ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
ขณะเดียวกัน นายโสภณ ดีหนู อายุ 70 ปีและ น.ส.ภัณฑิลา ดีหนู อายุ 40 ปี ลูกสาว ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเมตราต่อ รมว.กระทรวง ระหว่างการตรวจพื้นที่ดังกล่าว โดยเข้ายื่นต่อ นายศักดิ์ดา นพสิทธิ เลขานุการฯ พร้อมระบุว่า หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานใต้ร่มเย็นจำนวนหนึ่งบุกเข้าตัดโค่นต้นยางพาราที่มีอายุกว่า 7 ปี จำนวนกว่า 500 ต้น ในพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ในพื้นที่หมู่ที่ 17 บ้านสวนกล้วย ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ตนได้นำเรื่องร้องเรียนทางจังหวัดเพื่อขอรับความเป็นธรรม แต่เรื่องกับเงียบหายไป
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ระบุว่าให้ไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง ทำให้ครอบครัวต้องได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่ทำกิน ทั้งที่ที่ดินผืนดังกล่าวได้ครอบครองทำมาตั้งแต่ปี 2505 ต่อมาอุทยานได้ประกาศทับที่ทำกินเมื่อปี 2534 หลังจากรับหนังสือแล้ว นายศักดิ์ดา ได้รับปากจะนำเสนอรัฐมนตรีเพื่อหาทางช่วยเหลือต่อไป
