ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ดีเอสไอร่วมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ลงพื้นที่ภูเก็ต ตามคดีตำรวจวิสามัญผู้ต้องหา เหตุเกิดเมื่อปี 2552 หลังดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ด้านพ่อของผู้เสียชีวิตยันไม่เชื่อลูกยิงต่อสู้ตำรวจจนถูกวิสามัญ ร้องดีเอสไอสอบสวน มั่นใจหลังรับเป็นคดีพิเศษจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน ขณะที่ศพลูกชายเก็บไว้นาน 5 ปี เพิ่งตัดสินใจเผาศพเมื่อ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (25 เม.ย.) นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการสอบสวนคดีความมั่นคง 1 สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วัชรัศมิ เฉลิมสุขสันต์ นักนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่จากสถาบันิติวิทยาศาสตร์ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อติดตาม และจำลองเหตุการณ์เพื่อตรวจสอบวิถีกระสุน ภายหลังนายวิชิต รอดประดิษฐ์ บิดาของ นายองอาจ รอดประดิษฐ์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/10 ถ.ดำรง ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะและมีอาวุธปืน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2552 ร้องไปยังดีเอสไอเพื่อขอความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว เนื่องจากไม่เชื่อว่าผู้ตายยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนถูกวิสามัญดังกล่าว โดยลงตรวจสอบพื้นที่ ที่บริเวณริมคลองหลังห้องเช่า ริมสระน้ำ ภายในสวนสาธารณะสวนหลวง ร. 9 ถ.เจ้าฟ้าตะวันออก ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
นายทวีวัฒน์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ว่า หลังจากดีเอสไอได้มีมติรับเรื่องของเรียนขอความเป็นธรรม และให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญนายองอาจ เป็นคดีพิเศษเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบแนววิถีกระสุน และจำลองเหตุการณ์ตามคำให้การของทั้ง 2 ฝ่าย ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่ครั้งแรก โดยทางเจ้าหน้าที่จะเก็บรายละเอียดทั้งหมด หลังจากนั้นจะนำมาวิเคราะห์ประเมินผลเพื่อที่จะเดินหน้าในการตรวจสอบขั้นตอนต่อไป
ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ก็เนื่องจากว่าที่ผ่านมา ทางญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องเรียนไปยังดีเอสไอเพื่อให้ลงมาตรวจสอบในเรื่องนี้ และเพื่อขอความเป็นธรรม เนื่องจากทางญาติไม่เชื่อว่าผู้ตายจะยิงต่อสู้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจนถูกวิสามัญ สำหรับเรื่องนี้ญาติได้ร้องมาตั้งแต่ปี 2552 แล้ว และคณะกรรมการของทางดีเอสไอได้มีการพิจารณารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งต้องยอมรับว่าคดีนี้ เป็นคดีที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ที่ผ่านมา หลักฐาน คำให้การต่างๆของพยานมีแจ้งอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของทางดีเอสไอก็จะดูว่าอะไรยังไม่ได้ทำ หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมก็คงจะต้องมีการสอบพยานเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากลงพื้นที่แล้วคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการรวบรวมข้อมูล รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลต่างๆ
ขณะที่นายวิชิต พ่อของนายองอาจ กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. วันที่ 23 พ.ย.2552 ได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า จับกุมลูกชายซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีขโมยพระได้ ขอให้เดินทางไปที่สวนหลวง ร.9 ซึ่งตนก็ได้แจ้งให้ทางตำรวจดำเนินคดีไปตามกฏหมาย แต่หลังจากนั้น ลูกสาวได้โทร.เข้ามาแจ้งว่า นายองอาจ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญเสียชีวิต เนื่องจากยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ไปรับศพ ก็เอะใจเพราะข้อมูลไม่ตรงกัน จึงได้ให้ภรรยา และลูกสาวไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อไปถึงก็ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเสื้อ และซิมโทรศัพท์ที่หายไป ก็ได้รับแจ้งว่า ในส่วนของเสื้อนั้นเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ซิมโทรศัพท์ไม่มี ตนรู้สึกว่าผิดปกติ เนื่องจากสภาพศพของลูกชายมีรอยฟกช้ำตามร่างกายคล้ายถูกซ้อม กระบอกปืนก็หันเข้าหาตัวเอง และลักษณะศพนอนหงายเสียชีวิตในลักษณะชูมืออยู่เหนือศีรษะ จึงไม่เชื่อว่าลูกชายจะยิงต่อสู้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจากนั้น ก็ได้นำศพของลูกชายที่เสียชีวิตมาร้องขอความเป็นธรรมต่อทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่หน้าศาลากลาง และส่งศพของผู้เสียชีวิตไปผ่าพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และยืนยันจะไม่เผาศพจนกว่าจะได้รับความยุติธรรม และหลังจากเกิดเหตุได้ยื่นเรื่องถึงดีเอสไอให้ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ซึ่งในระหว่างที่รอทางดีเอสไอ ก็ประมาณ 5 ปี ได้เก็บศพลูกชายไว้ที่วัดโฆษิตวิหาร และได้ตัดสินใจเผาศพผู้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังดีเอสไอรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ซึ่งมั่นใจว่า หลังดีเอสไอรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วจะได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน