ปัตตานี - ผบก.ปัตตานี เรียก ผกก.ทุก สภ.เร่งหาหลักฐาน พร้อมเตรียมออกหมายจับคดีความมั่นคงหลายแหตุการณ์ พร้อมกำชับทุกหน่วย ทุก สภ.เฝ้าระวังอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่จะมีเจรจาสันติภาพกันอีกครั้งในวันที่ 29 เม.ย.นี้
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่กองบังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เรียกประชุม ผกก.ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และชุดสืบสวนสอบสวน สรุปผลการติตามคดีกลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุป่วน เพื่อเร่งขอออกหมายจับต่อศาล จ.ปัตตานี โดยเฉพาะเหตุป่วนใน 5 อำเภอ 18 จุด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งให้มีการนำผลตรวจดีเอ็นเอที่สามารถเก็บได้ในที่เกิดเหตุนำมาตรวจเทียบเคียงกับผลตรวจดีเอ็นเอจากเหตุการณ์ติดป้ายผ้าข้อความต่อด้านการเจราจาสันติภาพกับกลุ่มแกนนำขบวนการก่อความไม่สงบ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมานั้นว่า จะตรงกับเหตุการณ์อื่นใดบ้าง ทั้งนี้ เพื่อจำกัดแนวทางสืบสวนสอบสวนนำไปสู่หลักฐานในการขออนุญาตศาลออกหมายจับผู้ที่ก่อเหตุ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่ พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เปิดเผยว่า จากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุต่างๆ จนนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องที่รับผิดชอบ สภ.ต่างๆ พบการกระทำผิดใน 3 ลักษณะ คือ 1.การก่อเหตุของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย 2.การก่อเหตุที่มาจากปัญหาภัยแทรกซ้อน อย่างยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และสิ่งของผิดกฎหมาย และ 3.เป็นการก่อเหตุแก้แค้นส่วนตัว แต่อาศัยสถานการณ์ความไม่สงบที่มีอยู่ในพื้นที่กลบเกลื่อน ซึ่งก็ได้ให้ทุก สภ.เร่งจำแนก และแยกคดีต่างๆ พร้อมไปกับจัดชุดเฉพาะกิจออกติดตามจับกุมมาดำเนินคดี
ล่าสุด สามารถรู้ตัวกลุ่มก่อเหตุต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับคดีความมั่นคงจนนำไปสู่การเชิญตัวผู้ต้องสงสัยจากเหตุป่วนต่างๆ มาสอบสวน ก็มีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และในวันนี้ก็เตรียมยื่นหลักฐานขออนุญาตศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง 2 เหตุการณ์ ทั้งเผาป่วนเมือง และลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ
อย่างไรก็ตาม ได้มีการกำชับให้ทุก สภ.มีการกวดขันกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่มีการเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุร้ายต่างๆ ที่จะยังคงเกิดขึ้นในห้วงระหว่างที่จะถึงวันเจรจาสันติภาพของคณะตัวแทนรัฐบาลไทยกับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ และยังได้กำชับให้ทุกท้องที่เปิดแผนเฝ้าระวังป้องกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ควบคู่ไปกับการออกปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเป็นการจำกัดโอกาส และช่วงเวลาไม่ให้กลุ่มก่อความไม่สงบออกมาก่อเหตุต่างๆ ได้ง่ายด้วย
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่กองบังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เรียกประชุม ผกก.ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และชุดสืบสวนสอบสวน สรุปผลการติตามคดีกลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุป่วน เพื่อเร่งขอออกหมายจับต่อศาล จ.ปัตตานี โดยเฉพาะเหตุป่วนใน 5 อำเภอ 18 จุด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งให้มีการนำผลตรวจดีเอ็นเอที่สามารถเก็บได้ในที่เกิดเหตุนำมาตรวจเทียบเคียงกับผลตรวจดีเอ็นเอจากเหตุการณ์ติดป้ายผ้าข้อความต่อด้านการเจราจาสันติภาพกับกลุ่มแกนนำขบวนการก่อความไม่สงบ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมานั้นว่า จะตรงกับเหตุการณ์อื่นใดบ้าง ทั้งนี้ เพื่อจำกัดแนวทางสืบสวนสอบสวนนำไปสู่หลักฐานในการขออนุญาตศาลออกหมายจับผู้ที่ก่อเหตุ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขณะที่ พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เปิดเผยว่า จากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุต่างๆ จนนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องที่รับผิดชอบ สภ.ต่างๆ พบการกระทำผิดใน 3 ลักษณะ คือ 1.การก่อเหตุของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบในพื้นที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย 2.การก่อเหตุที่มาจากปัญหาภัยแทรกซ้อน อย่างยาเสพติด น้ำมันเถื่อน และสิ่งของผิดกฎหมาย และ 3.เป็นการก่อเหตุแก้แค้นส่วนตัว แต่อาศัยสถานการณ์ความไม่สงบที่มีอยู่ในพื้นที่กลบเกลื่อน ซึ่งก็ได้ให้ทุก สภ.เร่งจำแนก และแยกคดีต่างๆ พร้อมไปกับจัดชุดเฉพาะกิจออกติดตามจับกุมมาดำเนินคดี
ล่าสุด สามารถรู้ตัวกลุ่มก่อเหตุต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับคดีความมั่นคงจนนำไปสู่การเชิญตัวผู้ต้องสงสัยจากเหตุป่วนต่างๆ มาสอบสวน ก็มีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และในวันนี้ก็เตรียมยื่นหลักฐานขออนุญาตศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง 2 เหตุการณ์ ทั้งเผาป่วนเมือง และลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ
อย่างไรก็ตาม ได้มีการกำชับให้ทุก สภ.มีการกวดขันกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่มีการเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุร้ายต่างๆ ที่จะยังคงเกิดขึ้นในห้วงระหว่างที่จะถึงวันเจรจาสันติภาพของคณะตัวแทนรัฐบาลไทยกับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ และยังได้กำชับให้ทุกท้องที่เปิดแผนเฝ้าระวังป้องกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ควบคู่ไปกับการออกปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเป็นการจำกัดโอกาส และช่วงเวลาไม่ให้กลุ่มก่อความไม่สงบออกมาก่อเหตุต่างๆ ได้ง่ายด้วย