กระบี่ - หอการค้าจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่นำร่องโครง 1 ไร่ ได้ 1 แสนบาท ที่บ้านเกาะกลาง และบ้านคลองกำ ต.คลองประสงค์ จ.กระบี่ ประธานหอมั่นใจ ครบ 1 ปี เกษตรกรมีรายได้เกิน 1 แสนบาท
นายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยคณะฯ ลงพื้นที่แปลงนาสาธิตชุมชนบ้านคลองกำ และบ้านเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จ.กระบี่ เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสังข์หยดในพื้นที่นำร่องโครงการทำนา 1 ไร่ได้ 1 แสนบาท โดยมี นายประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายก อบต.คลองประสงค์ นายสมศักดิ์ ศรีหมาด รองนายก อบต. และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการร่วมเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนา
นายภูวดิท กล่าวว่า สำหรับโครงการทำนา 1 ไร่ ได้ 1 แสน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2555 ปัจจุบัน ข้าวที่ปลูกไว้มีสภาพสมบูรณ์ออกรวงสุกเหลืองอร่าม สำหรับพันธุ์ข้าวสังข์หยดที่ปลูกในพื้นที่บ้านเกาะกลางนั้น เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะรสชาติดี หอม นุ่ม เนื่องจากสภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นดินเค็มที่เหมาะกับการปลูกข้าว เพราะอยู่บริเวณเกาะกลางทะเล โดยราคาจำหน่ายข้าวสังข์หยดของชุมชนบ้านเกาะกลางอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท แต่ผลผลิตที่ได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากพื้นที่ปลูกมีน้อย และเกษตรส่วนใหญ่หันไปประกอบอาชีพอื่น
นายภูวดิท กล่าวอีกว่า ในการปลูกข้าวตามวิธีที่ได้รับการอบรมจากโครงการฯ คาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกได้ประมาณ 1 พันกิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ และภายหลังครบ 1 ปี เชื่อว่าเกษตรกรจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1แสนบาท เพราะนอกจากใช้พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกข้าวสังข์หยดแล้ว เกษตรกรยังสามารถปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงปลาได้ด้วย ซึ่งหลังเริ่มโครงการได้ไม่นาน พบว่า เกษตรกรก็มีรายได้จากปลูกพืชผักสวนครัวแล้ว เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประโยชน์ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างต้นแบบเกษตรกรที่สามารถปฏิบัติได้ในพื้นที่จริง โดยใช้กระบวนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งที่บ้านเกาะกลาง ต.คลองประสงค์ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 15 ราย เกษตรกรจะมีต้นทุนโดยเฉลี่ย 37,500 บาทต่อการทำนา 1 ไร่
สำหรับพื้นที่บ้านเกาะกลาง ต.คลองประสงค์ เป็นพื้นที่นำร่องทำโครงการ 1 ไร่ 1 แสน และเป็นพื้นที่แรกของจังหวัดฝั่งอันดามัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ ดำเนินการโดยหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างต้นแบบการทดลองการปฏิบัติในพื้นที่จริงจากกลุ่มเครือข่ายผู้นำทางการเกษตรที่ประสบผลสำเร็จให้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ซึ่งจะเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ตลอดจนส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
นายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยคณะฯ ลงพื้นที่แปลงนาสาธิตชุมชนบ้านคลองกำ และบ้านเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จ.กระบี่ เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสังข์หยดในพื้นที่นำร่องโครงการทำนา 1 ไร่ได้ 1 แสนบาท โดยมี นายประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายก อบต.คลองประสงค์ นายสมศักดิ์ ศรีหมาด รองนายก อบต. และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการร่วมเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนา
นายภูวดิท กล่าวว่า สำหรับโครงการทำนา 1 ไร่ ได้ 1 แสน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2555 ปัจจุบัน ข้าวที่ปลูกไว้มีสภาพสมบูรณ์ออกรวงสุกเหลืองอร่าม สำหรับพันธุ์ข้าวสังข์หยดที่ปลูกในพื้นที่บ้านเกาะกลางนั้น เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะรสชาติดี หอม นุ่ม เนื่องจากสภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นดินเค็มที่เหมาะกับการปลูกข้าว เพราะอยู่บริเวณเกาะกลางทะเล โดยราคาจำหน่ายข้าวสังข์หยดของชุมชนบ้านเกาะกลางอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท แต่ผลผลิตที่ได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากพื้นที่ปลูกมีน้อย และเกษตรส่วนใหญ่หันไปประกอบอาชีพอื่น
นายภูวดิท กล่าวอีกว่า ในการปลูกข้าวตามวิธีที่ได้รับการอบรมจากโครงการฯ คาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกได้ประมาณ 1 พันกิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ และภายหลังครบ 1 ปี เชื่อว่าเกษตรกรจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1แสนบาท เพราะนอกจากใช้พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกข้าวสังข์หยดแล้ว เกษตรกรยังสามารถปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงปลาได้ด้วย ซึ่งหลังเริ่มโครงการได้ไม่นาน พบว่า เกษตรกรก็มีรายได้จากปลูกพืชผักสวนครัวแล้ว เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประโยชน์ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างต้นแบบเกษตรกรที่สามารถปฏิบัติได้ในพื้นที่จริง โดยใช้กระบวนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งที่บ้านเกาะกลาง ต.คลองประสงค์ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 15 ราย เกษตรกรจะมีต้นทุนโดยเฉลี่ย 37,500 บาทต่อการทำนา 1 ไร่
สำหรับพื้นที่บ้านเกาะกลาง ต.คลองประสงค์ เป็นพื้นที่นำร่องทำโครงการ 1 ไร่ 1 แสน และเป็นพื้นที่แรกของจังหวัดฝั่งอันดามัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ ดำเนินการโดยหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างต้นแบบการทดลองการปฏิบัติในพื้นที่จริงจากกลุ่มเครือข่ายผู้นำทางการเกษตรที่ประสบผลสำเร็จให้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ซึ่งจะเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ตลอดจนส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
