ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ประกอบการค้าโทรศัพท์มือถือ และสินค้าไอทีชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต บุกโรงพักวิชิต จ.ภูเก็ต รวมตัวแจ้งความดำเนินคดี 2 หนุ่มอ้างเป็นเด็กตำรวจ เรียกเก็บค่าคุ้มครองลิขสิทธิ์ รายละ 3,500-5,000 บาท ขณะที่ผู้กำกับเผยพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย
ผู้ประกอบการร้านค้าโทรศัพท์มือถือ และสินค้าไอที ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ประมาณ 80 คน รวมตัวกันที่สถานีตำรวจภูธรวิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายหลังจากเกิดเหตุมีชาย 2 คน อ้างตัวเป็นเด็กของตำรวจเข้าไปเรียกเก็บค่าคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดยร้านเล็กเรียกเก็บที่ 3,500 บาท ส่วนร้านใหญ่เรียกเก็บที่ร้านละ 5,000 บาทต่อเดือน โดยทั้ง 2 คนได้เดินเข้าไปเรียกเก็บค่าคุ้มครองดังกล่าวได้เพียง 5 ร้าน ก็เกิดเหตุชุลมุน ผู้ประกอบการได้รวมตัวกันล้อมกรอบคนทั้ง 2 ไว้ เนื่องจากทางผู้ประกอบการขอดูหลักฐาน แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ แสดงได้ว่าบุคคลทั้ง 2 เป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ตรวจลิขสิทธิ์
ซึ่งหลังจากล้อมตัวบุคคลทั้ง 2 ไว้แล้ว ทางตัวแทนผู้ประกอบการได้ร้องเรียนไปยังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในฐานะเจ้าของพื้นที่ให้แจ้งตำรวจเพื่อนำบุคคลทั้ง 2 ดังกล่าวไปดำเนินคดี หลังจากนั้น ก็ได้มีการเชิญตัวบุคคลทั้ง 2 ไปยังสถานีตำรวจภูธรวิชิต และกลุ่มผู้ประกอบการประมาณ 80 คน ได้ตามไปสถานีตำรวจ เพื่อเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ต. สุภรณ์ เมืองไข่ ร้อยเวร สภ.วิชิต เพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลทั้ง 2 ซึ่งทราบชื่อภายหลังคือ นายศิริชัย อาตม์สกุล อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และนายชาคริส อุปลา อายุ 26 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช
พ.ต.อ.ชวลิต เพชรศรีเปีย ผู้กำกับการ สภ.วิชิต ได้ประชุมร่วมกับผู้ประกอบการภายหลังเกิดเหตุ พร้อมกับกล่าวว่า เรื่องนี้ทางตำรวจจะไม่นิ่งนอนใจ และจะสั่งการให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ส่วนทั้ง 5 ร้านที่โดนข่มขู่ ก็จะเรียกมาสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนคนร้ายที่จับมาแล้วก็ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และหากผู้ประกอบการท่านใดต้องการทราบความคืบหน้าสามารถติดต่อตัวเองได้โดยตรง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรายหนึ่งที่โดนข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง ให้การว่า คนร้ายทั้ง 2 คนเดินมาที่ร้าน และได้พูดคุยโดยอ้างว่าสารวัตรตำรวจคนหนึ่งใน สภ.วิชิต ส่งให้มาเรียกเก็บค่าคุ้มครองลิขสิทธิ์ จำนวน 3,500 บาทต่อเดือน เพื่อเคลียร์ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์สินค้าโดยให้จ่ายเงินเลย แต่เนื่องจากช่วงนั้นตนไม่อยู่ที่ร้านพนักงานในร้านจึงโทรศัพท์มาแจ้งเรื่อง จึงได้ขอสายเพื่อพูดคุยกับคนร้าย และคนร้ายยังได้กล่าวอีกว่า หากไม่จ่ายเขาจะเอานามบัตรของร้านไว้ และตั้งแต่ช่วงปลายปีจนถึงขณะนี้ มีบุคคลที่เข้ามาข่มขู่ลักษณะนี้แล้วหลายครั้ง แต่อ้างหน่วยงานแตกต่างกันไป ครั้งนี้ทนไม่ไหวจึงได้รวมตัวกันเพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก เพราะทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มากเกินพอแล้ว