xs
xsm
sm
md
lg

ย่าง 1 ทศวรรษไฟใต้ยังไร้ “ยา” ดีต้าน “มะเร็งร้าย” คร่าผู้บริสุทธิ์รายวัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
รายงาน...ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
 
เวลา 10 ปีของคนทั่วไปอาจจะดูยาวนาน แต่สำหรับคนปลายด้ามขวานกลับรวดเร็วยิ่ง เพราะไม่น่าเชื่อว่า เกือบทศวรรษแล้วที่รัฐบาลปล่อยให้ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้และ 4 อำเภอของสงขลา รวมถึงหัวเมืองเศรษฐกิจที่เป็นประตูของอาเซียนต้องเผชิญกับภัยก่อการร้ายรายวัน ทั้งบนถนนสายหลักที่ถูกทหารตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง สถานที่ราชการ หรือย่านเศรษฐกิจประจำจังหวัด ทั้งเหตุลอบยิง วางเพลิง และวางระเบิดอย่างไม่เกี่ยงวันเวลา
 
หากนับจากปี 2547 จนถึงขณะนี้ ผู้เสียชีวิตมีกว่า 5,000 ราย และบาดเจ็บกว่า 10,000 คน ที่น่าสนใจคือ มีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหญิงหม้ายกว่า 3,000 คน เด็กกำพร้ากว่า 5,000 คน โดยการก่อเหตุในระยะหลังนั้นแม้น้อยครั้ง แต่ใช้อาวุธที่รุนแรง และเกิดผลกระทบในวงกว้าง ดังเช่นการวางคาร์บอมบ์ หรือจักรยานยนต์บอมบ์ เพื่อให้เกิดเพลิงไหม้อาคารสถานที่ หรือจุดชนวนวัตถุไวไฟอื่นๆ ในขณะเดียวกันการก่อเหตุลอบยิงรายวันบนถนนสายหลักก็ยังคงดำเนินต่อไป
 
ปัญหาทั้งหมดสะท้อนการทำงานของรัฐบาลในระดับนโยบายที่ยังไม่มีความจริงจัง เมื่อ “หัวไม่ส่าย หางจึงไม่กระดิก” การทำงานระหว่างหน่วยงานที่ต่างวัฒนธรรมองค์กรก็ยังขาดเอกภาพ ทำให้ “เชื้อร้าย” ที่ฟักตัวมานานได้มีโอกาสเลี้ยงตัวเอง กลายเป็นเซลล์ที่พร้อมจะเติบโต และขยายตัวลุกลาม ไม่ต่างจาก “มะเร็งร้าย” ที่หากรักษาไม่ถูกวิธีก็พร้อมที่จะลุกลามขยายไปทั่วร่างกาย
 
จึงเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งว่า หากรัฐยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถควบคุมอำนาจตัวเองได้แล้ว และองค์กรต่างๆ ที่เปรียบเสมือนอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายทำงานไม่สอดประสานกัน อนาคตต่อไปจะรักษาเอกราชของปลายด้ามขวานไว้ได้หรือไม่
 
หากจำกันได้ ไฟใต้ที่อุบัติขึ้นในทศวรรษนี้ มีการราดน้ำมันเบนซินใส่จากคำสบถที่ว่า “โจรกระจอก” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้นำรัฐบาล ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็น “แพทย์ใหญ่” ที่พร้อมถึงทั้งบุคลากร และเครื่องมือ แต่กลับทำตัวเป็นเพียงเด็กปั๊มที่มองไฟใต้เป็นเพียงความขัดแย้งในพหุสังคม ที่มีความแตกต่าง เหลื่อมล้ำ และต้องการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตนเอง จึงใช้วิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” อันยิ่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ และอาวุธมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะสามารถกำจัด “เซลล์” เหล่านี้ไม่ให้เติบโตได้
 
ทว่า เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังที่คาดไว้ เพราะนอกจากไม่สามารถจำกัด “พื้นที่สีแดง” ได้แล้ว ยังกระตุ้นมีการขยาย “เหยื่อผู้บริสุทธิ์” เพิ่มมากขึ้น
 
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะรัฐบาลยังไม่ลึกซึ้งในปรัชญาพระราชทานที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” อย่างแท้จริง
 


 
พื้นที่ชายแดนใต้จึงกลาย “สนามรบ” เป็นที่แสวงหา “ผลประโยชน์” และ “อำนาจ” ของคนบางกลุ่ม ผู้ที่เข้ามาดูแลจึงเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปตามวาระ ตามแต่ “การเมืองจัดสรร” จากช่วงแรกๆ ที่มีเพียงประชาชนคนไทยพุทธ และกลุ่มข้าราชการเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ กลับบานปลายไปไม่เว้นในกลุ่มของชาวไทยมุสลิมก็ล้มหายตายจากไปไม่น้อยเช่นกัน ประชาชนที่ทนได้ก็ทน ที่อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ หรือที่มีทางเลือกอื่นก็อพยพหนีย้ายข้ามจังหวัดไปมิใช่น้อย
 
เช่นเดียวกับกลุ่ม “ครู” ที่ตกเป็นเหยื่อเครื่องมือการต่อสู้ระหว่างรัฐ และขบวนการก่อการร้าย เพราะวันใดที่รัฐเพลี่ยงพล้ำ มีช่องโหว่ในการดูแลความปลอดภัย “ครูก็เจ็บ” แต่หากคราใดที่แนวร่วมถูกวิสามัญ หรือจับกุม “ครูก็ตาย” สังเวยรายแล้วรายเล่าทะลุถึง 157 ศพ เพราะ “ครู” และ “โรงเรียน” คือสัญลักษณ์การต่อสู้กับรัฐไทยนั่นเอง นี่ยังไม่นับรวมพระสงฆ์องคเจ้าที่มิวายถูกคมกระสุนทำให้จีวรเปื้อนเลือดในขณะที่บิณฑบาตยามเช้า
 
หากละสายตาจากกำลังทหารมามองตำรวจแล้ว ก็จะพบว่าการตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “ศชต.” แยกออกมาจากกองบังคับการตำรวจภาค 9 (บช.ภ.9) ที่เคยดูแลพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เพื่อหวังให้เป็นกองบัญชาการตำรวจดับไฟใต้ โดยดึงเอาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไปรับผิดชอบดูแลความไม่สงบคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ก็ยังล้มเหลว สวนทางกำลังคน และงบประมาณที่ทุ่มเท
 
เนื่องจากเมื่อตำรวจทำคดีความมั่นคงเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมแล้ว กลับขาดหลักฐานจนศาลต้องยกฟ้องเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ถูกจับกุมโดยกฎหมายพิเศษ ไม่ว่าจะ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลายเป็นข้อครหาถึงความชอบธรรม มี “ผู้ถูกขังฟรี” นำไปสู่การร้องเรียนอยู่เนืองๆ
 
ไม่ต่างจากยุทธการ “พาคนกลับบ้าน” ของกองทัพ เพื่อเปิดโอกาสให้แนวร่วมที่หลงผิดหรือกลับใจได้เข้ามารายงานตัวอย่างไร้อาวุธนั้น หรือแม้แต่การเจรจากับกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นแกนนำระดับต้นๆ ของขบวนการก่อความไม่สงบ ถือเป็นยุทธวิธีหนึ่งในการใช้สันติภาพแก้ไขปัญหา แต่ก็ต้องยอมรับว่า มิได้ส่งผลชัดเจนให้ไฟใต้ซาลง
 
นั่นเป็นเพราะรัฐยังไม่สามารถสกัดการแตกตัวของแนวร่วมที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ และเริ่มเข้าสู่การทดสอบก่อเหตุลอบวางเพลิง และประกบยิงผู้โชคร้ายที่ขับขี่ยวดยานอยู่บนถนนสายหลัก ที่แม้จะมีกองกำลังทหารตั้งด่านตรวจตลอดเส้นทางนั่นเอง
 

 
ที่กล่าวมาก็ใช่ว่าจะไม่ดีเสียทั้งหมด อย่างน้อย 9 ปีที่ผ่านมา ก็ยังเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ มองเห็นโครงสร้างของปัญหาอยู่บ้างว่า แท้จริงแล้วเรื่องของ “ศาสนา” หรือ “ชาติพันธุ์” นั้น เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะภายใต้ความสับสนอลหม่านนี้ กลับมีกลุ่มที่ฉกฉวยโอกาสที่เป็น “ภัยแทรกซ้อน” นั่นคือ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ยาเสพติด และอาวุธสงคราม เป็นต้น
 
โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล้ารับเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบโดยตรง แทนหน่วยงานอื่นๆ ที่ใส่เกียร์ว่างทั้งศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และสำนักงานพลังงาน ซึ่งหน่วยงานเหล่านั้นควรต้องที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
 
ทั้งนี้ เพื่อคอยทำให้ท่อน้ำเลี้ยงยังคงส่งลำเลียงกลุ่มผู้ก่อเหตุ แม้จะยิ่งสาวยิ่งเจอตอที่เกี่ยวพันกับนักการเมือง คนมีสี และมีเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งใน และนอกประเทศ แต่ก็จะเป็นบททดสอบขั้นสำคัญว่า ที่เคยบอกว่าอยากให้ดินแดนแห่งนี้สงบสุขนั้น จะกล้าทำอย่างที่บอกไว้หรือไม่
 
ย้อนกลับมาดูการขจัดภัยแทรกซ้อนในปี 2555 นี้กันบ้างว่ามีความรุนแรงแค่ไหน กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้เปิดเผยการทำงานที่ผ่านมาว่า สามารถจับกุมยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดได้กว่า 300 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้ 212 คน โดยมีของกลางยาบ้า 253,107 เม็ด พืชใบกระท่อมกว่า 2,500 กก. ยาแก้ไอกว่า 33,000 ขวด ส่วนคดีค้าน้ำมันเถื่อนจับผู้กระทำความผิด 132 ราย ยึดของกลางได้ตั้งแต่รถยนต์  เรือ โกดังนับสิบแห่ง น้ำมันเชื้อเพลิง 162,135 ลิตร
 
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการก่อเหตุความรุนแรง และที่รอเครื่องมือจากการการฆ่า ปล้นเพื่อชิงยานพาหนะ ก็สามารถผลิตระเบิดเพื่อใช้ก่อเหตุขยายวงจรเหตุความไม่สงบได้อีก และหากมีการเดินหน้ามาตรการป้องปรามคุมเข้มอู่รถยนต์ ซึ่งเป็นที่ซ่องสุมดัดแปลงของกลาง เชื่อว่าสามารถห่วงโซ่บางขั้นบางตอนของวงจรอุบาทว์นี้ และเห็นสาเหตุปัญหาที่ขุ่นคลั่กอื่นๆ ได้อีกแน่นอน
 
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในโอกาสขึ้นศักราชใหม่ปี พ.ศ.2556 นี้ คงไม่มีพรประการใด หรือของขวัญสิ่งไหนที่คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการไปมากกว่า การได้ความสงบสุขกลับคืนมา เช่นเดียวกับกำลังเจ้าหน้าที่อีกหลายหมื่นนายที่ตรากตรำทำงานหนักเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่าเทียมกับชาวบ้าน ซึ่งต่างก็ต้องการได้ความสงบสุขกลับคืนมาไม่ต่างกัน
 
หรืออย่างน้อย ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกได้ดลบันดาลได้พบแนวทางรักษา “เชื้อมะเร็งร้ายแห่งไฟใต้” โดยที่ไม่ต้องใช้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็น “หนูทดลอง” หรือ “เหยื่อ” ที่ถูกล่อเป้าอีกต่อไป และนี่จะเป็นการตอบแทนครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่วีรบุรุษ วีรสตรี อีกหลายคนที่สละเลือดเนื้อปกป้องผืนแผ่นดิน ณ ผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้
 

 

กำลังโหลดความคิดเห็น