xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนปลายด้ามขวาน “ศุลกากร-สรรพสามิต-ตำรวจ” อยู่ไหน?/ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก

วันนี้ สถานการณ์การค้าน้ำมันเถื่อนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป เพราะพื้นที่การจำหน่ายน้ำมันเถื่อนไม่ได้จำกัดอยู่ที่พื้นที่อำเภอแนวชายแดนเหมือนในอดีต แต่มีการขยายพื้นที่จำหน่ายน้ำมันเถื่อนใน 14 จังหวัดภาคใต้ และบางส่วนถูกนำเข้าไปจำหน่ายในจังหวัดภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร

จากการใช้วิธีการลักลอบโดยกองทัพมด และใช้รถดัดแปลงถังน้ามันที่มีความจุ 400-500 ลิตร มาเป็นรถแท็งเกอร์จำนวน 3,000 ลิตร และจากจำนวนรถดัดแปลงไม่ถึง 100 คันต่อจังหวัด กลายเป็น 1,000 คันต่อจังหวัด และแต่ละคันสามารถผ่านเข้า-ออกระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยผ่านช่องทางศุลกากรคันละ 4-5 เที่ยวต่อวัน

ในส่วนการค้าทางทะเลนั้น วันนี้ทะเลอ่าวไทยมีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนกว่า 500 ลำ ครึ่งหนึ่งเป็นของนักการเมืองระดับชาติ และนักการเมืองท้องถิ่น ครึ่งหนึ่งเป็นของนายทุนที่อิงแอบอยู่กับนักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ มีท่าเรือขนถ่ายน้ำมันเถื่อนตั้งแต่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช กว่า 100 แห่ง มีรถบรรทุกน้ำมันตั้งแต่ 6 ล้อ ถึง 10 ล้อ และ 22 ล้อ ที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 200 คัน

แต่ละวัน แต่ละคืนจะมีน้ำมันเถื่อนถูกนำข้ามาจากประเทศมาเลเซียทางบกผ่านช่องทางศุลกากรที่ ต.สำนักขาม ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา, ต.ประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ไม่ต่ำกว่าวันละ 500,000 ลิตร และที่นำเข้าทางเรือใน จ.สงขลา ไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ลิตรต่อวัน

เช่นเดียวกับน้ำมันเถื่อนที่ผ่านช่องทางศุลกากร ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล และนำมาเก็บไว้ในโกดังแนวชายแดน บ้านวังประจัน ไม่ต่ำกว่าวันละ 500,000 ลิตร และถูกนำเข้าทางเรือด้านทะเลอันดามัน อ.เมือง อ.ละงู และ อ.ทุ่งหว้า จ.สตูลอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลิตรต่อวัน

และที่ผ่านทาง อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ อ.แว้ง ซึ่งที่ อ.สุไหงโก-ลกนั้น ผ่านทางช่องทางด่านศุลกากร และผ่านทางแม่น้ำสุไหงโก-ลก วันละไม่ต่ำกว่า 1,000,000 ลิตร น้ำมันเหล่านี้เมื่อนำมารวมกันแล้ว จะมีตัวเลขการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน วันละไม่ต่ำกว่า 4,000,000 ลิตร เป็นน้ำมันเบนซินครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเป็นน้ำมันดีเซล แสดงว่ามีการค้าน้ำมันเถื่อนวันละกว่า 100 ล้านบาท ถ้าคิดราคาน้ำมันเป็นเงินไทย และใน 100 กว่าล้านบาท รัฐต้องขาดรายได้ที่เป็นภาษีของประเทศไปไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทต่อวัน

ส่วนที่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการขาดรายได้ที่เป็นภาษีของประเทศคือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดย พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีการระบุชัดเจนว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นขบวนการเดียวกับขบวนการค้ายาเสพติด และอาวุธสงครามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ที่มีการพบหลักฐานที่ชัดเจนว่า เงินจากการค้าน้ำมันเถื่อนส่วนหนึ่งถูกส่งให้แก่อาร์เคเค หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ เพื่อใช้ในการการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

คำถามก็คือ เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่สรรพสามิต และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในพื้นที่ต่างๆ ที่ขบวนการน้ำมันเถื่อนนำน้ำมันออกจากประเทศมาเลเซีย นำน้ำมันจากเรือขึ้นที่ท่าเทียบเรือเพื่อขึ้นฝั่ง และตามเส้นทางบนถนนหลวงที่ขบวนการต้องขับรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนไปส่งให้แก่ลูกค้าหายไปไหนหมด จึงไม่สามารถจับกุมน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ได้ จนต้องใช้กำลังทหารของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และใช้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอทำการจับกุม ทั้งที่เส้นทางนำเข้าน้ำมันเถื่อนทางบกนั้น 80 เปอร์เซ็นผ่านทางช่องทางของศุลกากร และประตูเข้า-ออกระหว่างประเทศ ไม่ว่าเป็นที่ด่านพรมแดน ต.สำนักขาม ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา หรือด่านพรมแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และด่านพรมแดนบ้านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล ล้วนแต่กว้างไม่ถึง 20 เมตร แต่ทำไมขบวนการค้าน้ำมันถึงผ่านเข้า-ออก ได้ และมีการเข้า-ออก วันละ 4-5 เที่ยวต่อคัน ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะบอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็นไม่ได้

เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ซึ่งมีกำลังมีสำนักงานอยู่ในทุกอำเภอ และยังมีสานตรวจสรรพสามิตประจำจังหวัด รวมทั้งสรรพสามิตจังหวัด และสรรพสามิตเขตอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำอะไรกันอยู่จึงไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจที่จะสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมขบวนการที่ทำผิดกฎหมาย และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ

และสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ในแต่ละ สภ.ต่างมีจุดตรวจจุดสกัดอย่างน้อยในจังหวัดหนึ่งๆ ก็ต้องมีจุดตรวจ จุดสกัดไม่น้อยกว่า 5 แห่ง และบางจังหวัดมากถึง 10 แห่ง โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส ที่มีจุดตรวจทหารตำรวจตั้งอย่างถี่ยิบทำไมจึงไม่เคยจับกุมรถยนต์ที่ดัดแปลงเพื่อใช้บรรทุกน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ได้แม้แต่คันเดียว

วันนี้ จึงมีเพียงชุดปฏิบัติการแก้ปัญหาภัยแทรกซ้อนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเท่านั้นที่ทำหน้าที่ตรวจค้นจับกุมขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งล่าสุด การบุกเข้าจับกุมที่ ต.สำนักขาม และที่ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งได้นำมันเถื่อนจำนวนมาก และได้รถยนต์ดัดแปลถึง 11 คัน รวมทั้งการยึดน้ำมันเถื่อนที่ ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล เป็นจำนวนมาก และเกิดปัญหาของกลาง “ล่องหน” ในขณะที่อยู่ในความดูแลของตำรวจ จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในขณะนี้ เป็นการทำหน้าที่ของดีเอสไอ และกำลังทหารจาก กอ.รมน.ทั้งสิ้น และพื้นที่ซึ่งถูกจับกุมอยู่ภายใต้ “จมูก” ของศุลกากร และเป็นน้ำมันที่ถูกขนผ่านช่องทางศุลกากรทั้งสิ้น
ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน นอกจากจะใช้เส้นทางเดียวกับการค้าอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายแล้ว เครือข่ายยังเกี่ยวโยงกันอีกด้วย
โดยหน้าที่ที่แท้จริง การปราบปรามน้ำมันเถื่อนเป็นหน้าที่โดยตรงของศุลกากร และสรรพสามิต ส่วนตำรวจนั้นเป็นผู้ถือกฎหมาย ป.วิอาญา ที่มีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้ว แต่เหตุใดหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้ง 3 หน่วยงานจึงไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองตรงนี้ต่างหาก ที่เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคงจะต้องดำเนินการในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงานในพื้นที่ ว่าที่ไม่จับกุม ที่ปล่อยปละละเลยเป็นเพราะทั้ง 3 หน่วยงานมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่หรือไม่

การหยุดขบวนการน้ำมันเถื่อนที่ทำลายเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ ต้องใช้ดีเอสไอให้สูญเสียงบประมาณและกำลังพล เพียงแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างศุลกากร สรรพสามิต และตำรวจซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ได้ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนก็จะหมดไปจากแผ่นดินปลายด้ามขวาน ดังนั้น การแก้ปัญหาขบวนการน้ำมันเถื่อนวิธีการที่ถูกต้องที่สุดคือจัดการแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ” นั่นคือ “จัดการ” เอาผิดกับเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบก่อน ถ้ารัฐบาลกล้า “เชือดไก่ให้ลิงดู” สักครอกสองครอก ปัญหาน้ำมันเถื่อนจะหมดจากแผ่นดิน

กำลังโหลดความคิดเห็น