xs
xsm
sm
md
lg

ถือศีลอดแล้วก็ต้องจ่ายซะกาต ตัวอย่างการจัดการที่มัสยิดกลางปัตตานี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฮัสซัน โตะดง, มูฮำหมัด ดือราแม
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)

เมื่อถือศีลอดแล้วก็ต้องบริจาค นั่นคือหลักการถัดมาหลังจากการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม ก็คือ การบริจาคที่เป็นภาคบังคับ หรือทำทานบังคับ ที่เรียกว่า “ซะกาต” เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับซะกาตต่อไปนั่นเอง

ในช่วงปลายๆ ของเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม ในทุกมัสยิดจึงมีสิ่งผิดสังเกตเพิ่มขึ้นมา นั่นคือถุงข้าวสารที่ตั้งกองพะเนินอยู่ เพื่อรอจำหน่ายให้สัปบุรุษมาซื้อแล้วนำไปจ่ายซะกาต โดยมอบหมายให้คณะกรรมการมัสยิดเป็นผู้นำไปแจกจ่าย
จ่ายซะกาต - ชาวบ้านตะบิงติงงี อ.มายอ จ.ปัตตานี พากันมาจ่ายซะกาต หรือ ทานบังคับสำหรับมุสลิมในช่วงสุดท้ายของเดือนรอมฎอน ที่มัสยิดประจำหมู่บ้าน (ภาพถ่ายโดย ฮัสซัน โตะดง)
ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีก็เช่นกัน ตั้งแต่คืนวันที่ 16 สิงหาคม 2555 เป็นต้นมา ชาวบ้านต่างทยอยเดินทางมารอซื้อข้าวสาร และรอจ่ายซะกาตกันอย่างคึกคัก ซึ่งบรรยากาศจะเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงวันสิ้นสุดการถือศีลอด หรือวันอีฎิ้ลฟิตรี อันเป็นวันฉลองการสิ้นสุดการถือศีลอด หรือวันฮารีรายอนั่นเอง

หะยียะโก๊ป หรือ นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางปัตตานี บอกว่า ซะกาติมี 2 ประเภท ได้แก่ ซะกาตมาล หรือซะกาตทรัพย์สินจากการทำธุรกิจ เป็นซะกาตที่เกี่ยวข้องกับรายได้ ซึ่งเมื่อครบ 1 ปี โดยจะต้องจ่ายในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี

ส่วนซะกาตประเภทที่ 2 คือ ซะกาตฟิตเราะฮ์ ความหมายคือ ความสะอาดบริสุทธิ์ ซะกาตฟิตเราะฮ์เป็นซะกาตจ่ายเพื่อที่จะล้างมูลทินต่างๆ ในช่วงเดือนรอมฎอน หรือเป็นซะกาตที่จะไปทดแทนในสิ่งทำให้สูญเสียผลบุญจากการถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ ซะกาตประเภทนี้บังคับสำหรับทุกคน

หะยียะโก๊ป ระบุต่อไปว่า สำหรับสิ่งของที่จะนำมาการจ่ายซะกาตฟิตเราะฮ์นั้น จะเน้นอาหารหลักที่เป็นของท้องถิ่น หรือสิ่งของที่ใช้การรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ซึ่งในบ้านเราก็คือ ข้าวสาร หรือแปลงเป็นเงินก็ได้

“ข้าวสารที่จะนำมาจ่ายซะกาต คือ ปริมาณคนละ 1 กันตัง (มาตรตวงชนิดหนึ่ง) หรือเท่ากับน้ำหนักข้าวสาร 2.4 กิโลกรัม ปัจจุบัน มีราคาประมาณ 60 บาทต่อ 1 กันตัง”

สำหรับบุคคลที่มีสิทธิในการรับซะกาตมีทั้งหมด 8 จำพวก ได้แก่ 1.คนยากจน 2.คนที่อัตคัดขัดสน 3.คนที่มีหัวใจโน้มมาสู่อิสลาม (เข้ารับอิสลาม) 4.ผู้บริหารการจัดเก็บและการจ่ายซะกาต 5.ทาส 6.ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว 7.คนพลัดถิ่นหลงทาง 8.คนที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ

หะยียะโก๊ป ระบุว่า ในแต่ละปีมีประชาชนมาจ่ายซะกาตที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีประมาณ 1,000 กว่าคน ส่วนใหญ่จ่ายเป็นข้าวสาร และเงิน แต่ละปีจะได้เงินซะกาตประมาณ 200,000-300,000 บาท ทางมัสยิดจะไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มบุคคลทั้ง 8 จำพวกข้างต้น ส่วนข้าวสารที่ได้ทางมัสยิดนำไปขายเพื่อนำเงินมาแจกจ่ายแทน

“คณะกรรมการมัสยิดจะแจกจ่ายภายใน 2-3 วันหลังจากวันอีฎิ้ลฟิตรี โดยให้ตัวแทนกลุ่มต่างๆ ในชุมชน ซึ่งมี 7 ชุมชนที่ขึ้นกับมัสยิดแห่งนี้ เช่น กลุ่มสตรี กลุ่มยุวมุสลิม ไปสำรวจบุคคลที่มีสิทธิจะได้รับซะกาตเป็นประจำทุกปี โดยปกติมัสยิดแต่ละแห่งจะมีบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิที่จะได้รับซะกาตฟิตเราะฮ์อยู่แล้ว แต่เหตุที่ต้องสำรวจทุกปี เนื่องจากบางคนอาจจะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ จนกระทั่งพ้นหลักเกณฑ์ของการรับซะกาตแล้ว”

แต่ละปีมีผู้ที่มีสิทธิได้รับซะกาตที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีรับผิดชอบอยู่ประมาณ 50-60 คน ตามบัญชีของมัสยิด เฉลี่ยแต่ละคนจะได้รับเงินซะกาตประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อราย

โดยกลุ่มบุคคลที่จะได้รับมากกว่าบุคคลอื่นๆ คือมูอัลลัฟ (คนที่มีหัวใจโน้มมาสู่อิสลาม หรือผู้เข้ารับอิสลาม) ซึ่งปีนี้มีประมาณ 30 คน รองลงมา เป็นคนยากจน ส่วนคนเดินทางซึ่งมีสิทธิได้รับเงินซะกาตด้วยไม่ค่อยมี

หะยียะโก๊ป ยังยกตัวอย่างด้วยว่า เคยมีชาวบ้านคนหนึ่งที่คณะกรรมการมัสยิดเคยนำเงินซะกาตไปมอบให้ แล้วเขานำไปซื้อรถเข็นมาประกอบอาชีพจนสามารถสร้างตัวได้ ปัจจุบัน เขากลับเป็นคนจ่ายให้ซะกาตให้คนอื่นได้แล้ว

บรรยากาศค่ำคืนนี้ ทุกมัสยิดก็คงจะยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก เพราะทุกคนต่างมุ่งไปยังมัสยิดเพื่อรีบจ่ายซะกาตให้ทันก่อนถึงเวลาละหมาดอีฎิ้ลฟิตรีในวันรุ่งขึ้น หากทางสำนักจุฬาราชมนตรีประกาศว่า มีผู้พบเห็นดวงจันทร์และกำหนดให้เป็นวันสำคัญทางศาสนา “อีฎิ้ลฟิตรี” เพราะหากเลยเวลานั้นไปแล้วซะกาตจะกลายเป็นแค่การบริจาคทานธรรมดานั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น