ปัตตานี - เจ้าหน้าที่เข้าพิสูจน์หลักฐานหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี โดยพบชิ้นส่วนของถังแก๊สหุ้งต้มและชิ้นส่วนวิทยุสื่อสารมีน้ำหนักรวม 50 กิโลกรัม
วันนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 08.00 น. ร.ต.ท.พรพิทักษ์ สมศรี หัวชุดศาสตรา ศชต.ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบวัตถุพยานในที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์หลังโรงแรมซี.เอส.ปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี อีกครั้ง เพื่อหารายละเอียดของชิ้นส่วนประกอบระเบิดที่คนร้ายนำมาก่อเหตุในครั้งนี้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดพิสูจน์หลักฐานปัตตานี
จากการตรวจสอบ พบซากชิ้นส่วนของรถยนต์กระบะตอนเดียวที่คนร้ายใช้ซุกระเบิด สภาพถูกเพลิงไหม้ทั้งคันกระเด็นคนละทิศคนละทางถูกกำแพงรั้วสุสานชาวจีนเสียหายทั้งแถบ นอกจากนั้นแรงระเบิดยังส่งผลให้บ้านเรือนชาวบ้านที่ติดกับรัศมีเกิดเหตุได้รับความเสียหาย บานกระจกแตก และฝ้าเพดานพังเสียหายทั้งหลัง
ส่วนโรงแรมซี.เอส.ปัตตานี นั้นได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะด้านหลังของโรงแรมมีรอยร้าวทั้งแถบ ในส่วนที่เป็นอาคารต่อกับตัวโรงแรมเป็นที่ตั้งของหม้อแปลงไฟฟ้า และเครื่องผลิตไฟฟ้าสำรองได้รับความเสียหายจากแรงอัดของระเบิด และจากการลุกไหม้ของไฟที่โหมอย่างหนัก เนื่องจากภายในห้องเครื่องยนต์ทางโรงแรมได้สำรองน้ำมันไว้ประมาณ 500 ลิตร จึงทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
แรงระเบิดยังทำให้ห้องครัวของโรงแรมได้รับความเสียหาย และพนักงานของโรงแรมถูกแรงอัดจากระเบิดมีอาการแน่นหน้าอก จำนวน 3 คน ถูกนำส่งพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลปัตตานี ซึ่งขณะนี้ได้พ้นขีดอันตรายแล้ว
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบชิ้นส่วนของถังแก๊สหุงต้ม ขนาด 15 กิโลกรัม สามารถบรรจุระเบิดได้น้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม ชิ้นส่วนของวิทยุสื่อสาร และชิ้นส่วนของสะเก็ดระเบิดที่ทำด้วยเหล็กเส้นขนาด 2 หุน และ 3 หุน ปะปนกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนรถยนต์ที่คนร้ายนำมาก่อเหตุในครั้งนี้เป็นรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ถล 8099 กทม. สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่คนร้ายได้โจรกรรมในพื้นที่ อ.กะพ้อ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพนักงานบริษัทเบทาโกรขับกลับมาจากส่งไก่ให้กับลูกค้าในพื้นที่ เป็นเหตุให้คนงานถูกยิงเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุก่อนคนร้ายจะชิงรถไป และนำมาก่อเหตุดังกล่าว
ส่วนประเด็นสาเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนและสอบสวนว่าเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบหรือไม่ ทั้งนี้จากข้อมูลความมั่นคงในพื้นที่ได้ทราบมาก่อนแล้วว่าจะมีการก่อเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จึงได้แจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ จนกระทั่งเกิดเหตุจนได้ และจากการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุนั้นเป็นที่เปลี่ยว ไม่เป็นจุดสัญจรของกองกำลังในพื้นที่เป็นหลัก เจ้าหน้าที่จึงมีความเห็นว่าจึงเข้าใจได้ว่าการระเบิดในครั้งนี้เป็นเพียงสร้างสัญลักษณ์ของความรุนแรงยังคงมีอยู่ในพื้นที่