เวลา 20.30 น.ของคืนวันศุกร์ที่ 13 ก.ค.เสมือนฤกษ์ปล่อยผีร้ายเกิดเหตุความไม่สงบชุดใหญ่ใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อมีเสียงระเบิดดังกึกก้อง ติดต่อกันเป็นระยะๆ ถึง 4 ครั้ง หน้าธนาคารอิสลาม ถนนสุขยางค์ภายในเขตเทศบาลบันนังสตา ตามด้วยอาวุธปืนเอ็ม 79 อีกถึง 3 ครั้งซ้อน ที่คนร้ายยิงมาจากแนวฝั่งแม่น้ำปัตตานี หลังบ้านพักตำรวจ ฝ่ายปกครอง ซึ่งตั้งอยู่หลัง สภ.บันนังสตา
และทันทีที่ถูกโจมตีสถานที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ต่างก็ถูกเจ้าหน้าที่ปิดไฟจนมืดสนิทเพื่อป้องกันการถูกกลุ่มคนร้ายเข้าโจมตีซ้ำ จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกครั้งเป็นระเบิดลูกที่ 5 ซึ่งคนร้ายใส่ไว้ในถังขยะหน้าสำนักงานที่ดิน ทำให้ ด.ต.วิชัย พลายวิเศษ ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบันนังสตา
หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บันนังสตา พร้อมด้วย อส.ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นและทำการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุที่ถูกลอบวางระเบิด ซึ่งเป็นตู้เอทีเอ็มของธนาคารทั้งสิ้น เริ่มจากธนาคารออมสิน, ธกส., กรุงไทย และธนาคารอิสลาม ซึ่งแม้ตู้เอทีเอ็มได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่เงินในตู้เอทีเอ็มไม่ได้รับความเสียหาย หรือหายไปแม้แต่บาทเดียว
ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายอีกกลุ่มก็ได้ยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ 4109 ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านสนามบิน ม.1 ต.เขื่อนบางลาง โชคดีที่ ไม่มีการสูญเสียกำลังพล มีเพียงได้รับบาดเจ็บจากแรงอัดของระเบิด 1 นาย
คล้อยหลังเหตุร้ายเพียง 3 วัน ศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจริญ ธรรมขันธ์ ผกก.สภ.บันนังสตา ผบ.หน่วยเฉพาะกิจที่ 15 และนายเมธี กาญจนะพังคะ นายอำเภอบันนังสตา นำกำลังพลและชาวบ้านประมาณ 30-40 นาย เดินถือป้ายผ้าร่วมในขบวนเดินพาเหรดกีฬาสีของนักเรียนจากโรงเรียนดำรงวิทยา เพื่อต่อต้านการก่อเหตุรุนแรง สร้างความเดือดร้อนไปสู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ อ.บันนังสตา
ทว่า สิ่งที่ภาครัฐได้จัดขึ้นเป็นฉากของการยัดเยียดความพ่ายแพ้งานมวลชนให้กับประชาชนในพื้นที่ เพราะ ศชต.เป็นองค์กรฝ่ายความมั่นคงขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องขึ้นตรงต่อกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และได้จัดตั้งอยู่ในพื้นที่มาหลายปี เพื่อคุมกำลังพลที่มีอยู่หลายพันนาย และเฝ้าติดตามสถานการณ์ความรุนแรงอย่างใกล้ชิด แต่การนำมวลชนที่สร้างขึ้นเพียงหยิบมือเดียว ตอบโต้การก่อเหตุความรุนแรงด้วยตัวอักษรบนป้ายผ้า ไม่กี่ผืน และแฝงในกิจกรรมขบวนเดินพาเหรดของนักเรียนเพื่อหวังให้ดูตระการตาว่าเป็นมวลชนที่ปรบมือร่วมกันนั้นอ่อนล้าเต็มที
นั่นเป็นเพราะภาครัฐประมาณการณ์ผิดพลาดอีกเช่นเคยว่า ว่าจะมีประชาชนชาวอำเภอบันนังสตาร่วมเดินขบวนราว 2,000 คน โดยมารวมตัวที่หน้าธนาคารแห่งละไม่น้อยกว่า 500 คน แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาเดินขบวนจริง ๆ กลับเหลือเพียงไม่ถึง 50 คน แม้จะรวมเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้เข้าต่อแถวแล้วก็ตาม และที่ตลกสิ้นดีเมื่อนักเรียนของโรงเรียนดำรงวิทยาที่อยู่ในขบวนพาเหรดด้วยชุดสีสวยงามต่างมึนงงกับงานมวลชนที่รัฐเข้ามาสอดแทรกกิจกรรมภายใน แต่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก กลืนไม่เข้า คายไม่ออก จำเป็นต้องตามน้ำไปดังภาพที่ปรากฏในสื่อ
งานนี้ยังพอจะฟังหน่วยข่าวความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ได้บ้าง ซึ่งมีการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ที่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีความสูญเสียต่อชีวิตนั้น เพราะเป็นอยู่ระหว่างการฝึกทดลองจิตใจของกลุ่มคนร้ายแนวร่วมชุดใหม่ที่กำลังปั้นแทนกลุ่มเก่าๆ ที่ก่อเหตุไม่ได้แล้ว ทั้งถูกจับกุม อยู่ระหว่างหลบหนี หรือถูกวิสามัญอยู่คนละโลกไปแล้ว
และนั่นแสดงว่าขบวนการก่อเหตุความรุนแรงไม่ได้ละความพยายามที่จะปลุกระดมเยาวชนในพื้นที่ให้หลงผิดเข้ามาก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยข่าวความมั่นคงได้ตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมครั้งนี้อีกว่า แม้เป็นพียงเด็กวัยรุ่นที่มีอายุราว 16-20 ปี แต่ผ่านฝึกปรือตามยุทธวิธีโจรให้ปิดบังใบหน้าและหลบมุมกล้องวงจรปิดได้อย่างแนบเนียน จนกล้องอัจฉริยะที่แกะรอยมาแล้วหลายคดีไม่สามารถจับลักษณะคนร้ายที่ชัดเจนได้ งานนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการจับคนร้ายในที่มืดนั่นเอง
หรือเหตุครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำ 9 ปีความล้มเหลวของรัฐที่ยังไม่จัดเจนด้านงานข่าว บวกกับความล้มเหลวในการดึงความเชื่อมั่นของประชาชน ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจึงเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางความเสียขวัญที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยเฉพาะหลังจากความสูญเสียตำรวจฝีมือดีที่คอยเฝ้า อ.บันนังสตา สู้กับคนร้ายจนลมหายใจสุดท้าย นั่นคือ “จ่าเพียร” หรือ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ทำให้กลุ่มคนร้ายฮึกเฮิมไม่เกรงอำนาจภาครัฐที่มีทั้งกำลังและอาวุธมากกว่าหลายเท่า แต่กลับแย่งชิงพื้นที่โดยอ้างกลุ่มนักรบฟาตอนีกระจายข่มขวัญและขับไล่คนไทยพุทธทั้งหมู่บ้านใน อ.บันนังสตา และชี้ชัดว่าการก่อเหตุได้บรรลุตามเป้าหมายขั้นตอนใกล้จะสำเร็จแล้ว
และด้วยความจริงที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยจากฐานข้อมูลของภาครัฐเอง คนไทยพุทธหลายหมู่บ้านได้ลดจำนวนน้อยลงจากความหวาดกลัวกับสถานการณ์ หรือไม่ก็ถูกตามฆ่าตายทีละรายสองรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลุ่มที่เหลือทนไม่ไหวต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน ที่ทำกิน พาชีวิตและครอบครัวหนีความโหดร้ายที่มองเห็นไปตายเอาดาบหน้า แม้แต่วัดซึ่งถูกรุกที่ดินยังต้องมีการทอดผ้าป่าหาเงินมาไถ่ถอนที่ดินของวัดคืนจากคนที่บุกรุก
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา นั้น น่าจะเป็นกระจกเงาที่สะท้อนได้ชัดเจนแล้วว่า ตราบใดที่หน่วยงานในพื้นที่ยังมีการเล่นละครหลอกตาประชาชน หลอกว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว และไร้ซึ่งความจริงใจในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบอย่างจริงจัง ตราบนั้นยังหาความสันติสุขที่ยั่งยืนแท้จริงไม่ได้อย่างแน่นอน