ตรัง - สำนักพระพุทธศาสนาลงพื้นที่ตรวจสอบผู้นำและชาวบ้าน กรณีร้องจังหวัดว่าพระสำนักสงฆ์ชื่อดังโค่นไม้สะเดาเทียม และไม้มะกอกในที่ดินพิพาท โดยอ้างเพื่อนำไปสร้างห้องสุขาสาธารณะ
วันนี้ (29 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตรัง ว่า เมื่อเวลา 11.30 น.ที่โรงน้ำชุมชนพอเพียง หมู่ที่ 4 ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง นายชาลี พักตร์จันทร์ หัวหน้ากลุ่มศาสนสถานและศาสนสมบัติ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนายอำนวยโชค ฮุยเคียน นายก อบต.ช่อง ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังจังหวัด และสำนักงานพระพุทธศาสนาว่า พระเชาวลิต อตตโม ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ช่องน้อย ได้ว่าจ้างคนโค่นไม้สะเดาเทียม และไม้มะกอก ในที่ดินข้อพิพาทระหว่างสำนักสงฆ์ช่องน้อยกับนายประเสริฐ เลี้ยงสกุล นายทุนทำบ่อทรายในพื้นที่ เพื่อนำไปสร้างห้องสุขาภายในสำนักสงฆ์
นายอำนวยโชค ฮุยเคียน นายก อบต.ช่อง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทาง นายประเสริฐ เลี้ยงสกุล ซึ่งได้ครอบครองที่ดินกรรมสิทธิ์ นส.3 ก.ในเนื้อที่ประมาณ 31 ตารางเมตร ซึ่งมีแนวเขตอยู่ติดกับที่ดินของสำนักสงฆ์ มีความประสงค์ขอออกโฉนดที่ดิน
และต่อมาในวันชี้แนวเขต โดยมีเจ้าหน้าที่รังวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง และชาวบ้านในละแวกดังกล่าว ร่วมเป็นสักขีพยาน นายประเสริฐ ได้ชี้แนวเขตที่ดินของตนเองด้านติดกับสำนักสงฆ์ว่าอยู่ระหว่างขอบสระน้ำกับโรงน้ำปัจจุบัน ซึ่งทำให้โรงน้ำที่เป็นสมบัติสาธารณะของหมู่บ้าน และพื้นที่ดินที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกส่วนหนึ่งจะต้องตกเป็นของ นายประเสริฐ โดยปริยาย ตนจึงได้คัดค้าน และชี้แนวเขตของสำนักสงฆ์ตามสภาพที่เป็นอยู่จริง โดยยึดถือแนวรั้วลวดหนามข้างโรงน้ำ ตลอดไปตามแนวต้นเทียมทางทิศตะวันตก ซึ่งทราบว่า นายจันทร์ ทองสำลี อดีตผู้ใหญ่บ้าน ได้ปลูกไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว จึงทำให้ที่ดินที่นายประเสริฐ และตนชี้แนวเขต ในเนื้อที่ 2 ไร่ และเป็นที่ดินข้อพิพาทต้องรอศาลมีคำสั่ง จึงจะทราบได้ว่าที่ตรงนั้นเป็นของใคร
แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา พระเชาวลิต ได้ว่าจ้างคนมาตัดโค่นไม้สะเดาเทียม จำนวน 9 ต้น และไม้มะกอก อีกจำนวน 1 ต้น รวมเป็น 10 ต้น ในที่ดินข้อพิพาท โดยอ้างว่าเพื่อนำไปสร้างห้องสุขาภายในสำนักสงฆ์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่อไปในทางทำลายหลักฐาน เพื่อใช้เป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล มากกว่าการพัฒนา ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างสำนักสงฆ์กับที่ดินของ นายประเสริฐ ซึ่งจากพฤติกรรมเช่นนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว กรณีโค่นไม้ยางหวงห้าม จำนวน 3 ต้น เพื่อพัฒนาสำนักสงฆ์ และไม้ยืนต้นอื่นๆ อีกรวม 10 ต้น โดยไม่ทราบว่านำไม้ไปใช้ประโยชน์อะไร
ด้าน นายชาลี พักตร์จันทร์ หัวหน้ากลุ่มศาสนสถานและศาสนสมบัติ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง กล่าวว่า เดิมสำนักสงฆ์ช่องน้อยเคยเป็นวัดร้างมาก่อน ต่อมาทางสำนักงานพระพุทธศาสนา ได้ขอขึ้นทะเบียนยกฐานะเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ตามระเบียบของทางราชการ เมื่อเป็นเช่นนั้นทางมหาเถระสมาคมจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบแล้วเห็นว่า สำนักสงฆ์วัดช่องน้อยยังไม่มีโฉนดที่ดิน เป็นเพียง สค.1 จึงทำเรื่องขอออกโฉนดที่ดิน และเมื่อนายประเสริฐทราบ ก็ขอออกโฉนดที่ดินด้วย จึงกลายเป็นข้อพิพาทจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้น นายอำนวยโชค ฮุยเคียน นายก อบต.ช่อง ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังจังหวัดว่า พระเชาวลิต ได้ว่าจ้างชาวบ้านให้มาโค่นต้นสะเดาเทียม และไม้มะกอก รวม 10 ต้น เพื่อนำไปสร้างห้องสุขา จำนวน 12 ห้อง กว้างหลังละ 7 เมตร ยาว 12 เมตร ซึ่งทางผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยมีตนเป็นประธาน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งจากการลงพื้นที่ได้สอบปากคำ พระเชาวลิต ผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้ง นายก อบต.ช่อง และชาวบ้าน รวม 4 ปาก เพื่อรวบรวมเสนอจังหวัด และแจ้งคณะสงฆ์ดำเนินการพิจารณาต่อไป แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่
ขณะที่ พระเชาวลิต อตตโม ผู้ดูแลสำนักสงฆ์ช่องน้อย กล่าวว่า ได้รับการอนุญาตจากพระมหาสุวรรณ วิชาธโร เจ้าคณะอำเภอเมืองตรัง ให้มาพำนักเพื่อดูแลสำนักสงฆ์ช่องน้อย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2554 และต่อมาได้ว่าจ้าง นายดำเนิน จุ้ยมอด ชาวบ้านในพื้นที่ตัดโค่นไม้ดังกล่าว เพื่อนำมาสร้างห้องสุขาภายในสำนักสงฆ์ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ญาติโยม แต่ยังไม่ทันได้แปรรูป ก็มาถูกผู้นำและชาวบ้านร้องเรียนก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนได้ตกลงกับ นายประเสริฐ เจ้าของที่ดินแล้ว และก็ยินยอมให้ตัดโค่น ขณะที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้นำไม้ไปใช้ส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ระหว่างที่ นายชาลี พักตร์จันทร์ หัวหน้ากลุ่มศาสนสถานและศาสนสมบัติ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ตรัง กำลังสอบปากคำอยู่นั้น ทั้ง นายอำนวยโชค และพระเชาวลิต ต่างก็นำหลักฐานการถือครองที่ดินดังกล่าวมาแสดง โดยต่างอ้างสิทธิ์กันและกัน จนทำให้มีการปะทะคารมกันขึ้น ร้อนถึงนายชาลี ต้องสงบศึกให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดโต้เถียงกัน