ระนอง -ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ อำเภอกะเปอร์ หนุนกรมชลฯศึกษาความเหมาะสมโครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม จังหวัดระนอง แต่เอ็นจีโอเป็นห่วงหวั่นกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (2 ส.ค.) บริษัท เอ็นแคด คอนซัลแตนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษากรมชลประทาน ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 โครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม จังหวัดระนอง มี นายภานุ ศิริ ปลัดอำเภอกะเปอร์ รักษาราชการแทนนายอำเภอกะเปอร์ เป็นประธานเปิดการประชุม มีผู้น้ำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน ที่โรงเรียนกะเปอร์วิทยา
นายภานุ กล่าวว่า แม้ว่าอำเภอกะเปอร์จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองฝนแดดแปดสี่ แต่ช่วงฤดูแล้งจะขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและเพื่อการอุปโภคบริโภค เนื่องจากสภาพพื้นที่ร้อยละ 80 เป็นภูเขา 10% เป็นที่ราบสูง น้ำฝนไหลลงสู่ทะเลหมด ประกอบกับในพื้นที่ยังไม่มีแหล่งเก็บน้ำสำรองยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงามจึงมีความเหมาะสม เนื่องจากสามารถบรรเทาและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินตามโครงการย่อมทั้งมีผลดีและผลเสีย จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
นายเศวต คลายนาทร หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงามได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ต่อมาในปี พ.ศ.2550 สำนักราชเลขาธิการได้รับหนังสือจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน อ.กะเปอร์ เรื่องความเดือดร้อนของราษฎร ต.ม่วงกลวง ต.บางหิน และ ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ที่ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณตามที่ขอ
ทั้งนี้ หากผลการศึกษามีความเหมาะสม เห็นควรรับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่เนื่องจากที่ตั้งของโครงการอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จึงต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการ
นายเศวต กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.บางหิน อ.กะเปอร์ อาคารหัวงานเป็นเขื่อนดินกว้าง 8.00 เมตร ยาว 885 เมตร สูง 38.00 เมตร ได้กำหนดที่ตั้งหัวงานไว้ 4 จุด หากจุดใดที่ศึกษาแล้วมีความเหมาะสมมากที่สุด มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เนื่องจากอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ประชาชนได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็จะเลือกจุดนั้น สำหรับความจุของอ่างประมาณ 20-44 ล้านลูกบาศก์เมตร ขึ้นอยู่กับจุดก่อสร้างหัวงาน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ประมาณ 3,000 ครัวเรือนครอบคลุม 3 ตำบลของอำเภอกะเปอร์ คือ ต.ม่วงกลวง ต.กะเปอร์ และ ต.บางหิน มีพื้นที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 35,000 ไร่ ใช้เวลาในการศึกษา 540 วัน ตั้งแต่ วันที่ 24 กันยายน 2553 - 16 มีนาคม 2555
นายวิชัย ศรีเจริญ นายก อบต.บางหิน นายกัมพล จันทรชู นายก อบต.ม่วงกลวง และนายสว่าง ยืนยง กำนันตำบลบางหิน กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยที่จะให้มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม เนื่องจากจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และน้ำท่วม ให้กับราษฎรในพื้นที่ได้ แต่มีความเป็นห่วงในเรื่องของความแข็งแรงของตัวเขื่อนเนื่องจากอยู่ระหว่างแนวรอยเลื่อนระนอง-มะรุย
นายสมศักดิ์ สุนทรนวภัทร ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำอันดามันตอนบน และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ระหว่างประเทศ หรือ IUCN กล่าวว่า มีความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชนในอนาคต เนื่องจากพื้นที่โครงการอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ซึ่งตามกฎหมายห้ามเข้าไปทำกิจกรรมใดๆ นอกจากเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและงานวิจัยเท่านั้น หากมีการสร้างเขื่อนจะทำให้พื้นที่ระบบนิเวศป่าต้นน้ำสูญเสียไปประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร กระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งไม่มั่นใจว่าการสร้างเขื่อนจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้หรือไม่
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (2 ส.ค.) บริษัท เอ็นแคด คอนซัลแตนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษากรมชลประทาน ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 โครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม จังหวัดระนอง มี นายภานุ ศิริ ปลัดอำเภอกะเปอร์ รักษาราชการแทนนายอำเภอกะเปอร์ เป็นประธานเปิดการประชุม มีผู้น้ำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน ที่โรงเรียนกะเปอร์วิทยา
นายภานุ กล่าวว่า แม้ว่าอำเภอกะเปอร์จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองฝนแดดแปดสี่ แต่ช่วงฤดูแล้งจะขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและเพื่อการอุปโภคบริโภค เนื่องจากสภาพพื้นที่ร้อยละ 80 เป็นภูเขา 10% เป็นที่ราบสูง น้ำฝนไหลลงสู่ทะเลหมด ประกอบกับในพื้นที่ยังไม่มีแหล่งเก็บน้ำสำรองยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงามจึงมีความเหมาะสม เนื่องจากสามารถบรรเทาและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินตามโครงการย่อมทั้งมีผลดีและผลเสีย จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
นายเศวต คลายนาทร หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงามได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ต่อมาในปี พ.ศ.2550 สำนักราชเลขาธิการได้รับหนังสือจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน อ.กะเปอร์ เรื่องความเดือดร้อนของราษฎร ต.ม่วงกลวง ต.บางหิน และ ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ที่ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณตามที่ขอ
ทั้งนี้ หากผลการศึกษามีความเหมาะสม เห็นควรรับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่เนื่องจากที่ตั้งของโครงการอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จึงต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการ
นายเศวต กล่าวว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.บางหิน อ.กะเปอร์ อาคารหัวงานเป็นเขื่อนดินกว้าง 8.00 เมตร ยาว 885 เมตร สูง 38.00 เมตร ได้กำหนดที่ตั้งหัวงานไว้ 4 จุด หากจุดใดที่ศึกษาแล้วมีความเหมาะสมมากที่สุด มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เนื่องจากอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ประชาชนได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็จะเลือกจุดนั้น สำหรับความจุของอ่างประมาณ 20-44 ล้านลูกบาศก์เมตร ขึ้นอยู่กับจุดก่อสร้างหัวงาน มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ประมาณ 3,000 ครัวเรือนครอบคลุม 3 ตำบลของอำเภอกะเปอร์ คือ ต.ม่วงกลวง ต.กะเปอร์ และ ต.บางหิน มีพื้นที่ได้รับผลประโยชน์ประมาณ 35,000 ไร่ ใช้เวลาในการศึกษา 540 วัน ตั้งแต่ วันที่ 24 กันยายน 2553 - 16 มีนาคม 2555
นายวิชัย ศรีเจริญ นายก อบต.บางหิน นายกัมพล จันทรชู นายก อบต.ม่วงกลวง และนายสว่าง ยืนยง กำนันตำบลบางหิน กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยที่จะให้มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองเคียนงาม เนื่องจากจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และน้ำท่วม ให้กับราษฎรในพื้นที่ได้ แต่มีความเป็นห่วงในเรื่องของความแข็งแรงของตัวเขื่อนเนื่องจากอยู่ระหว่างแนวรอยเลื่อนระนอง-มะรุย
นายสมศักดิ์ สุนทรนวภัทร ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำอันดามันตอนบน และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ระหว่างประเทศ หรือ IUCN กล่าวว่า มีความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชนในอนาคต เนื่องจากพื้นที่โครงการอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ซึ่งตามกฎหมายห้ามเข้าไปทำกิจกรรมใดๆ นอกจากเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและงานวิจัยเท่านั้น หากมีการสร้างเขื่อนจะทำให้พื้นที่ระบบนิเวศป่าต้นน้ำสูญเสียไปประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร กระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งไม่มั่นใจว่าการสร้างเขื่อนจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้หรือไม่
