ตรัง - คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนลูกซองสั้น จ่อยิงหนุ่มอาชีพขับขี่ จยย.รับจ้าง คิวรถตู้สายตรัง-ย่านตาขาว ก่อนนำศพไปทิ้งไว้ริมถนน และพยายามจุดไฟเผารถจักรยานยนต์ คาดสาเหตุมาจากขัดแย้งส่วนตัว
วันนี้ (1 เม.ย.) เมื่อเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตรัง เข้าตรวจสอบสภาพศพ นายมนต์ชัย ขุนนุ้ย อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 120 ม.1 ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง ซึ่งมีอาชีพขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างคิวรถตู้สายตรัง-ย่านตาขาว ซึ่งถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนลูกซองสั้น จ่อยิงที่ขมับขวากระสุนทะลุซ้าย จำนวน 1 นัด จนเสียชีวิตที่ริมถนน ม.1 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมืองตรัง โดยมี รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง-ดำ ทะเบียน ขขพ 569 ตรัง ล้มทับอยู่บนร่าง
จากการตรวจสอบพบร่องรอยการงัดแงะที่เบาะใต้เบาะรถจักรยานยนต์ และมีการพยายามจุดไฟเผาที่ฝาถังน้ำมัน นอกจากนี้ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร พบรอยเลือด และรองเท้าฟองน้ำ 1 ข้างตกหล่น คาดว่าน่าจะเป็นของคนร้าย จึงตรวจยึดเป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นายจำเริญ ขุนนุ้ย พ่อผู้ตายให้การว่าลูกชายมีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง คิวรถตู้สายตรัง-ย่านตาขาว ในเขตเทศบาลนครตรัง โดยก่อนเกิดเหตุ หลังจากเลิกงาน ลูกชายจะแวะมารับประทานอาหารที่บ้าน และกลับไปนอนที่บ้านของตนเองอีกหลัง ซึ่งพักอาศัยกับภรรยาในตำบลเดียวกัน กระทั่งมีผู้มาพบศพถูกยิงเสียชีวิตดังกล่าว
ส่วนสาเหตุคาดว่า ลูกชายน่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนร้ายภายในบ้าน เพราะเมื่อคืนวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา มีเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับผู้ตาย ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจากภายในบ้าน และข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งขวดสุราถูกทุบแตกกระจัดกระจาย ก่อนจะมาถูกยิงเสียชีวิตดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ก่อนเกิดเหตุ หลังจากผู้ตายกลับจากบ้านพ่อแล้ว อาจมานั่งดื่มสุราต่อที่บ้านกับเพื่อน และระหว่างนั้นอาจมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับคนร้าย ซึ่งเป็นเพื่อนกันภายในวงเหล้าอย่างรุนแรง จากนั้นได้ลวงผู้ตายมาจ่อยิงจนเสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหด ก่อนนำศพมาทิ้ง แล้วนำรถจักรยานยนต์มาวางทับที่ศพเตรียมจุดไฟเผาทั้งคนและรถเพื่ออำพรางคดี
ระหว่างที่คนร้ายเตรียมจะเปิดใต้เบาะรถปรากฏว่าไม่มีกุญแจ จึงได้งัดแงะเพื่อเปิดเบาะรถและพยายามจุดไฟเผาที่ฝาถังน้ำมัน แต่จุดไม่ติดเพราะไม่มีน้ำมันรถ เมื่อเห็นดังนั้นคนร้ายจึงเปลี่ยนแผนหลบหนีไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มุ่งประเด็นการสังหารโหดไปที่เรื่องความขัดแย้งส่วนตัว ซึ่งจะได้เรียกผู้ใกล้ชิดมาสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป