กระบี่ - ประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี กระบี่ ชี้การปิดเขตอุทยานฯเพื่อป้องกันแนวปะการังได้รับความเสียหาย กระทบการท่องเที่ยว แนะควรหาทางป้องกันด้วยวิธีอื่น เพิ่มทุนผูกเรือและใช้มาตรการอื่นแทนการปิดอุทยาน ด้านนายกสมาคมท่องเที่ยว ชี้ ปิดอุทยานฯทำนักท่องเที่ยวหาย 50-60%
นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยว เกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ ทาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าละพันธุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อป้องกันแนวปะการังเสียหาย หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังได้รับความเสียหายหลายแห่ง โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ เช่น ที่อ่าวมาหยา และอ่าวต้น ไทร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเกาะพีพีและเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ขึ้นชื่อ
ประธานชมรมผู้ปะกอบการท่องเที่ยว เกาะพีพี กล่าวว่า การประกาศปิดแหล่งดำน้ำดูปะการัง ในเขตอุทยานฯจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาะพีพี และจังหวัดกระบี่อย่างแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเกาะพีพี ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และบริเวณดังกล่าวก็มีปะการังน้ำตื้นที่สวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อ่าวมาหยา เฉลี่ยวันละ 800-1,000 คน หากมีการปิดอุทยานฯก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแน่นอน
“การปิดอุทยานฯ ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ตนติดตามข่าวสารมาโดยตลอดพบว่าปะการังเสียหาย เกิดขึ้นมานานกว่า 1 ปี แล้ว ทำไมทางอุทยานฯไม่ปิดในตอนนั้น กลับมาปิดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งตนเห็นว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน และในขณะนี้ เท่าที่สังเกตพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากนักท่องเที่ยวน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาก็ควรที่จะออกมาตรการควบคุมนักท่องเที่ยวในบางจุด ไม่ใช่ปิดไม่ให้เข้าไปเที่ยว และควรวางทุ่นจอดเรือเพิ่มเติม ส่วนปะการังที่ตายจากการฟอกขาวก็จะฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ
ด้านนายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า ในส่วนของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่กรมอุทยานฯจะปิดอุทยานฯในฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะพีพี ทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ปะการังอยู่รอด ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ได้ ควรจะมีการแบ่งโซนพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยว โดยการสลับหมุนเวียนกัน ไม่ใช่ปิดพร้อมกันทุกจุด เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญส่วนใหญ่ของจังหวัดกระบี่ อยู่ในเขตอุทยานฯ
นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ จะเดินทางไปท่องเที่ยวทางทะเล ดำน้ำ ดูปะการัง และพักผ่อนตามชายหาด หากว่าทางกรมอุทยานฯประกาศปิดอุทยานฯก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่โดยตรง และเชื่อว่าผลที่ตามมาจากการปิดอุทยานฯ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ประมาณ 50-60% เพราะไม่รู้จะมาดูอะไร ซึ่งจะทำให้จังหวัดกระบี่และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ สูญเสียรายได้ไปด้วย ซึ่งกรมอุทยานฯควรจะมองสองด้านไม่ใช่มองด้านเดียว
นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยว เกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ ทาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าละพันธุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อป้องกันแนวปะการังเสียหาย หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังได้รับความเสียหายหลายแห่ง โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ เช่น ที่อ่าวมาหยา และอ่าวต้น ไทร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเกาะพีพีและเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ขึ้นชื่อ
ประธานชมรมผู้ปะกอบการท่องเที่ยว เกาะพีพี กล่าวว่า การประกาศปิดแหล่งดำน้ำดูปะการัง ในเขตอุทยานฯจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาะพีพี และจังหวัดกระบี่อย่างแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเกาะพีพี ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และบริเวณดังกล่าวก็มีปะการังน้ำตื้นที่สวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อ่าวมาหยา เฉลี่ยวันละ 800-1,000 คน หากมีการปิดอุทยานฯก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแน่นอน
“การปิดอุทยานฯ ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ตนติดตามข่าวสารมาโดยตลอดพบว่าปะการังเสียหาย เกิดขึ้นมานานกว่า 1 ปี แล้ว ทำไมทางอุทยานฯไม่ปิดในตอนนั้น กลับมาปิดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งตนเห็นว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน และในขณะนี้ เท่าที่สังเกตพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากนักท่องเที่ยวน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาก็ควรที่จะออกมาตรการควบคุมนักท่องเที่ยวในบางจุด ไม่ใช่ปิดไม่ให้เข้าไปเที่ยว และควรวางทุ่นจอดเรือเพิ่มเติม ส่วนปะการังที่ตายจากการฟอกขาวก็จะฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ
ด้านนายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า ในส่วนของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่กรมอุทยานฯจะปิดอุทยานฯในฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะพีพี ทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ปะการังอยู่รอด ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ได้ ควรจะมีการแบ่งโซนพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยว โดยการสลับหมุนเวียนกัน ไม่ใช่ปิดพร้อมกันทุกจุด เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญส่วนใหญ่ของจังหวัดกระบี่ อยู่ในเขตอุทยานฯ
นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ จะเดินทางไปท่องเที่ยวทางทะเล ดำน้ำ ดูปะการัง และพักผ่อนตามชายหาด หากว่าทางกรมอุทยานฯประกาศปิดอุทยานฯก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่โดยตรง และเชื่อว่าผลที่ตามมาจากการปิดอุทยานฯ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ประมาณ 50-60% เพราะไม่รู้จะมาดูอะไร ซึ่งจะทำให้จังหวัดกระบี่และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ สูญเสียรายได้ไปด้วย ซึ่งกรมอุทยานฯควรจะมองสองด้านไม่ใช่มองด้านเดียว