ยะลา - ย้อนหลัง 7 ปีแห่งความขื่นขมกับปัญหาภาคใต้ มีเยาวชนต้องสูญเสียบิดา-มารดา 3,482 คน แม้ภาครัฐเดินหน้าช่วยเหลือ แต่สภาพจิตใจยังต้องเยียวยาอีกนาน โดยแต่ละรายกว่าจะกลับมามีชีวิตปกติอีกครั้งต้องใช้เวลา
วันนี้ (8 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์การก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ตั้งแต่ปี 2547 ที่ผ่านมา - พฤศจิกายน ปี 2553 มีเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ต้องสูญเสียบิดา มารดา และผู้ปกครอง จำนวน 3,482 คน ซึ่งเยาวชนทั้งหมดนี้ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐได้เข้าไปเยี่ยม มีการจะช่วยดำเนินการในการประสานงานช่วยเหลือ โดยเฉพาะด้านการศึกษา เนื่องจากเด็กบางคนต้องสูญเสียทั้งบิดา และมารดาในคราวเดียวกัน
สำหรับสภาพจิตใจของเด็กที่สูญเสียจะมีความเจ็บแค้น และจะเป็นเด็กที่เก็บตัว บางรายแอบร้องไห้คนเดียว กลายเป็นเด็กที่ซึมเศร้า มีความรู้สึกว่า ตัวเองมีปมด้อย และอยากจะแก้แค้น ต้องใช้กระบวนการเยียวยาให้กับเด็ก อาจจะต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าที่จะสามารถกลับมามีชีวิตตามปกติในสังคมได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาทางภาครัฐได้เข้ามาช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายความมั่นคง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือดูแล
โดยในทุกๆ เช้า ที่บริเวณริมถนนสายยะลา - รามัน ในเขตเทศบาลเมืองรามันห์ อ.รามัน จ.ยะลา นางกาญจนา ไกรดำ อายุ 40 ปี พนักงานกวาดขยะของเทศบาลเมืองรามันห์ ต้องทำหน้าที่ของแม่ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงลูกชายเพียงลำพัง หลังต้องสูญเสียนายสัมพันธ์ ธีรสุพล อายุ 40 ปี เป็นพนักงานขับรถเก็บขยะของเทศบาลเมืองรามันห์ ผู้เป็นสามี และพ่อ ของเด็กชายอาธร ธีรสุพล วัย 5 ขวบกว่า ที่กำลังเรียนอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลเมืองรามันห์ ด้วยฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ใช้อาวุธปืนประกบยิงขณะที่ นายสัมพันธ์ กำลังขับรถเก็บขยะ เหตุเกิดบนถนนสายรามัน - พอแม็ง หมู่ที่ 1 ในเขตเทศบาลเมืองรามันห์ อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 22 ต.ค.2551 ที่ผ่านมา
ด้าน เด็กชายอาธร ธีรสุพล ขณะในวัย 5 ขวบกว่า มีเพียงแม่เพียงผู้เดียวที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มี พ่อ แม่ ลูก เมื่อมีวันหยุด หรือเทศกาลในแต่ละครั้ง ครอบครัวก็พาลูกไปเที่ยว เช่นเดียวกับวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ อีกหลายๆครอบครัว พ่อ และแม่ กำลังเตรียมตัวจะพาลูกหลานออกไปเที่ยวเล่นหรือไปร่วมกิจกรรมในงานวันเด็ก แต่เด็กชายอาธร ไม่สามารถที่จะไปเที่ยววันเด็กเหมือนคนอื่นๆได้ เพราะทางบ้านมีฐานะลำบาก แม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว หากจะไปเที่ยวได้ก็เพียงแต่ไปร่วมงานวันเด็กภายในเขตชุมชนเพียงเท่านั้น
ขณะที่ นางสาวสารีนา วาแมยูซา ครูประจำชั้นอนุบาล 2 กล่าวว่า น้องอาธร มาเรียนก็สามารถเข้ากับเพื่อนได้ดี เวลาเรียนในชั้นเรียนมีความตั้งใจเรียนดี แต่ไม่มากเท่ากับเพื่อนๆคนอื่น มีสมาธิในการเรียนค่อนข้างสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งตนเองก็ต้องดูแลน้องอาธร เป็นกรณีพิเศษ อย่างเช่น เมื่อถึงวันพ่อน้องอาธรก็จะบอกว่าคุณพ่อไปไหน โดนอะไร น้องอาธรจะสามารถบอกได้หมด และตนเองเคยถามน้องอาธร ว่าในอนาคตอยากจะเป็นอะไร น้องอาธรจะตอบกลับมาว่าตนเองอยากเป็นตำรวจเพื่อจะไปจับโจร จับคนที่ยิงพ่อของตนเอง ซึ่งตนเองก็ได้บอกน้องอาธร เสมอว่าต้องเป็นเด็กดีในเมื่อคุณพ่อไม่อยู่ ก็ต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง เพื่อให้คุณพ่อได้ประทับใจ เพราะคุณพ่ออยู่บนสรรค์ ต้องพูดคุยกับน้องอาธรอยู่ตลอดเวลา ต้องให้ความรักมากกว่าเด็กคนอื่นๆ
ส่วนเด็กชายอาธร ธีรสุพล วัย 5 ขวบ กล่าวว่า มาโรงเรียนได้เล่นเกมส์ ต่างๆกับเพื่อนๆ มีความสนุกสนาน อนาคตอยากจะเป็นตำรวจกับพนักงานขับรถไฟ เมื่อถามว่าอยากเป็นตำรวจ เพราะอะไร น้องอาธรบอกว่าจะได้ไล่โจร (จับโจร) เมื่อถามถึงครอบครัว น้องอาธรจะบอกว่าพ่อได้ตายไปแล้ว อยู่กับแม่ และพี่ชาย เมื่อถามว่าในวันเด็กแห่งชาติน้องอาธรอยากจะไปเที่ยวที่ไหน น้องอาธรตอบว่าอยากจะอยู่ที่บ้านกับพี่ชาย แม่ และยาย มากกว่า ส่วนสิ่งที่อยากได้นั้น น้องอาธรอยากได้ของขวัญ เช่น ของเล่น กระปุกออมสิน อยากไปโคลีเซี่ยม (ห้างสรรพสินค้า) ไปซื้อพิซซ่ามากิน
ส่วน นางกาญจนา ไกรดำ อายุ 40 ปี กล่าวว่า ตั้งแต่สูญเสียพ่อของน้องอาธรไป ชีวิตก็ต้องลำบาก เพราะต้องหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพังคนเดียว ส่วนน้องอาธรนั้น เมื่อเห็นเด็กคนอื่นวิ่งเข้าไปกอดพ่อ ก็จะเกิดอาการซึมเศร้า ซึ่งตนเองก็ได้บอกน้องอาธร ว่าพ่อไปอยู่บนสรรค์ ไปในที่สบายแล้ว น้องอาธรได้บอกกับตนเองเสมอว่า โตขึ้นอยากจะเป็นตำรวจ และก็อยากจะเป็นคนขับรถ เหมือนกับพ่อของเขา สำหรับวันเด็กในปีนี้ คงไม่ไปไหน คงต้องอยู่ที่บ้าน เพราะไม่ได้ไปไหนตั้งแต่พ่อของน้องอาธรเสียไป ซึ่งในบางครั้งน้องอาธร ก็ขอยากจะไปเที่ยวบ้าง สำหรับการให้ความช่วยเหลือครอบครัวนั้น ก็มีหน่วยงานเข้ามาให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งทุนการศึกษาของลูก ซึ่งค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนก็ไม่เพียงพอกับเงินเดือนที่ได้ มา เพราะตนเองทำงานคนเดียวได้เงินเดือนเพียงเดือนละ 5,080 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก็ตกประมาณเดือนละ 6,000 - 7,000 บาท ซึ่งตนเองอยากจะให้ช่วยเหลือในเรื่องของที่อยู่มากกว่า