นครศรีธรรมราช - ผอ.ท่าอากาศยานเมืองนครฯ ปูทางสู่สนามบินนานาชาติ หวังรับสายการบินตรงจากต่างประเทศ หลัง "เชพรอน" ย้ายฐานบิน ส่งผลให้มีรายได้ปีละนับสิบล้านบาท จึงเตรียมผลักดันเป็นท่าอากาศยานศุลกากร
วันนี้ (8 ม.ค.) นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เปิดเผย ถึงการเปิดใช้ท่าอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ของบริษัทเชฟรอน ที่ใช้พื้นที่ของท่าอากาศยานฝั่งทิศใต้ ซึ่งเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นโอกาสทองของนครศรีธรรมราช ที่จะมีฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากการย้ายสนามบินมาอยู่ที่นครศรีธรรมราชแล้ว ฐานของพนักงานจำนวนมากจะย้ายมาที่นี่ด้วย ซึ่งไม่ใช่ย้ายเฉพาะคนแต่หมายถึงย้ายระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลงมาสู่นครศรีธรรมราช
“ในส่วนของรายได้ท่าอากาศยานแน่นอนว่าขยายตัวเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในค่าธรรมเนียมท่าอากาศยาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานทุกครั้ง 2.ค่าภาษีผู้โดยสารโดยเก็บตามจำนวนคนที่ใช้อากาศยาน และ 3.ค่าโรงเก็บ ค่าจอดแต่ละคืนจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมทุกคืน รายได้ทั้งหมดจะส่งเข้าสู่กระทรวงการคลัง ในส่วนนี้ต่อปีประมาณการสูงถึงปีละนับสิบล้านบาททีเดียว” นายนิสิต กล่าว
นายนิสิต กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดในขณะนี้คือการเพิ่มเที่ยวบินของเครื่องบินโดยสารโดยเฉพาะสายการบินนกแอร์ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 2 เที่ยวบินเป็นวันละ 4 เที่ยวบิน เนื่องจากมีพนักงานจากเชฟรอน และพนักงานในบริษัทอากาศยานที่เกี่ยวข้องต้องใช้บริการเพิ่มมากขึ้น จะต้องมีการเดินทางและแน่นอนว่าเครื่องบินโดยสารย่อมได้รับอานิสงค์ นอกจากเศรษฐกิจในมุมต่างๆ ของนครศรีธรรมราชจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย
“นอกจากนี้การขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ให้ก้าวเข้าสู่การเป็นท่าอากาศยานนานาชาติมีโอกาสเป็นได้อย่างสูงในขณะนี้ เนื่องจากมีการค้าการลงทุนขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นครศรีธรรมราชจะเป็นศูนย์ของภาคใต้ตอนกลางพอดี แต่อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือกฎหมายที่ศุลกากร ท่าอากาศยานต้องประกาศเป็นท่าอากาศยานศุลกากรก่อนจึงสามารถผลักเป็นท่าอากาศยานนานาชาติได้ เครื่องบินจากต่างประเทศที่บินตรงมาจึงจะลงจอดได้ซึ่งขณะนี้กำลังร่วมกันผลักดันอย่างเร่งด่วน” นายนิสิต กล่าว
ด้านนางหทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงสนามบินเฮลิคอปเตอร์แห่งนี้ว่าที่นี่จะเป็นศูนย์รวมในการดำเนินการขนส่งทางอากาศของบริษัทเพียงแห่งเดียว แทนที่ศูนย์ขนส่งทางอากาศเดิมซึ่งได้ดำเนินการอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จ.ชลบุรี และสนามบินทหารเรือสงขลา จ.สงขลา และขณะนี้ที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และได้ทำการทดสอบความพร้อมของระบบและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบจะทำการบินด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์รุ่น S 76 C มีขนาดจำนวนผู้โดยสาร 12 ที่นั่ง เพื่อรับส่งพนักงานไปปฏิบัติงานยังแท่นผลิตปิโตรเลียมต่าง ๆ ในอ่าวไทย
“ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2554 เป็นต้นไป จะเป็นการเปิดดำเนินงานเต็มรูปแบบด้วยเครื่องเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 ลำ ทำการบินจำนวน 12 เที่ยวบินต่อวัน ทั้งนี้อาจมีเที่ยวบินฝึกซ้อม ซ่อมบำรุง หรือกรณีฉุกเฉินอีกไม่เกิน 8 เที่ยวต่อวัน โดยจะทำการบินตลอดสัปดาห์ในช่วงกลางวันตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น. จะมีการบินในช่วงกลางคืนเฉพาะในกรณีมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติงานที่นี่จะมีพนักงานประจำศูนย์บินประมาณ 150 คน ซึ่งเป็นทั้งพนักงานของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัทคู่สัญญาด้านการบินคือบริษัท ไทยแอร์วิเอชั่นเซอร์วิสเซส (หรือ TAS) และเมื่อศูนย์ขนส่งทางอากาศ เปิดดำเนินงานอย่างเต็มระบบแล้วจะมีผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ซึ่งเป็นพนักงานเชฟรอนและพนักงานจากบริษัทผู้รับเหมาใช้บริการจำนวนกว่า 8,000 คนต่อเดือน ในส่วนนี้จะมีเม็ดเงินที่สะพัดในพื้นที่นับหลายร้อยล้านบาทต่อปีทีเดียว” นางหทัยรัตน์ กล่าว
วันนี้ (8 ม.ค.) นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เปิดเผย ถึงการเปิดใช้ท่าอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ของบริษัทเชฟรอน ที่ใช้พื้นที่ของท่าอากาศยานฝั่งทิศใต้ ซึ่งเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นโอกาสทองของนครศรีธรรมราช ที่จะมีฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากการย้ายสนามบินมาอยู่ที่นครศรีธรรมราชแล้ว ฐานของพนักงานจำนวนมากจะย้ายมาที่นี่ด้วย ซึ่งไม่ใช่ย้ายเฉพาะคนแต่หมายถึงย้ายระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลงมาสู่นครศรีธรรมราช
“ในส่วนของรายได้ท่าอากาศยานแน่นอนว่าขยายตัวเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในค่าธรรมเนียมท่าอากาศยาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานทุกครั้ง 2.ค่าภาษีผู้โดยสารโดยเก็บตามจำนวนคนที่ใช้อากาศยาน และ 3.ค่าโรงเก็บ ค่าจอดแต่ละคืนจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมทุกคืน รายได้ทั้งหมดจะส่งเข้าสู่กระทรวงการคลัง ในส่วนนี้ต่อปีประมาณการสูงถึงปีละนับสิบล้านบาททีเดียว” นายนิสิต กล่าว
นายนิสิต กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตามมาและเห็นได้ชัดในขณะนี้คือการเพิ่มเที่ยวบินของเครื่องบินโดยสารโดยเฉพาะสายการบินนกแอร์ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 2 เที่ยวบินเป็นวันละ 4 เที่ยวบิน เนื่องจากมีพนักงานจากเชฟรอน และพนักงานในบริษัทอากาศยานที่เกี่ยวข้องต้องใช้บริการเพิ่มมากขึ้น จะต้องมีการเดินทางและแน่นอนว่าเครื่องบินโดยสารย่อมได้รับอานิสงค์ นอกจากเศรษฐกิจในมุมต่างๆ ของนครศรีธรรมราชจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย
“นอกจากนี้การขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ให้ก้าวเข้าสู่การเป็นท่าอากาศยานนานาชาติมีโอกาสเป็นได้อย่างสูงในขณะนี้ เนื่องจากมีการค้าการลงทุนขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นครศรีธรรมราชจะเป็นศูนย์ของภาคใต้ตอนกลางพอดี แต่อย่างไรก็ตามยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือกฎหมายที่ศุลกากร ท่าอากาศยานต้องประกาศเป็นท่าอากาศยานศุลกากรก่อนจึงสามารถผลักเป็นท่าอากาศยานนานาชาติได้ เครื่องบินจากต่างประเทศที่บินตรงมาจึงจะลงจอดได้ซึ่งขณะนี้กำลังร่วมกันผลักดันอย่างเร่งด่วน” นายนิสิต กล่าว
ด้านนางหทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงสนามบินเฮลิคอปเตอร์แห่งนี้ว่าที่นี่จะเป็นศูนย์รวมในการดำเนินการขนส่งทางอากาศของบริษัทเพียงแห่งเดียว แทนที่ศูนย์ขนส่งทางอากาศเดิมซึ่งได้ดำเนินการอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จ.ชลบุรี และสนามบินทหารเรือสงขลา จ.สงขลา และขณะนี้ที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และได้ทำการทดสอบความพร้อมของระบบและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบจะทำการบินด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์รุ่น S 76 C มีขนาดจำนวนผู้โดยสาร 12 ที่นั่ง เพื่อรับส่งพนักงานไปปฏิบัติงานยังแท่นผลิตปิโตรเลียมต่าง ๆ ในอ่าวไทย
“ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2554 เป็นต้นไป จะเป็นการเปิดดำเนินงานเต็มรูปแบบด้วยเครื่องเฮลิคอปเตอร์จำนวน 6 ลำ ทำการบินจำนวน 12 เที่ยวบินต่อวัน ทั้งนี้อาจมีเที่ยวบินฝึกซ้อม ซ่อมบำรุง หรือกรณีฉุกเฉินอีกไม่เกิน 8 เที่ยวต่อวัน โดยจะทำการบินตลอดสัปดาห์ในช่วงกลางวันตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น. จะมีการบินในช่วงกลางคืนเฉพาะในกรณีมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติงานที่นี่จะมีพนักงานประจำศูนย์บินประมาณ 150 คน ซึ่งเป็นทั้งพนักงานของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัทคู่สัญญาด้านการบินคือบริษัท ไทยแอร์วิเอชั่นเซอร์วิสเซส (หรือ TAS) และเมื่อศูนย์ขนส่งทางอากาศ เปิดดำเนินงานอย่างเต็มระบบแล้วจะมีผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ซึ่งเป็นพนักงานเชฟรอนและพนักงานจากบริษัทผู้รับเหมาใช้บริการจำนวนกว่า 8,000 คนต่อเดือน ในส่วนนี้จะมีเม็ดเงินที่สะพัดในพื้นที่นับหลายร้อยล้านบาทต่อปีทีเดียว” นางหทัยรัตน์ กล่าว