ตรัง - หลังจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนขึ้นไปแตะอยู่ที่บาทละ 18,400 บาท ทำให้ยอดขายร้านทองในจังหวัดตรังลดเกินกว่า 50%
วันนี้ (19 พ.ย.) นางลดาวัลย์ ศัยศักดิ์พงษ์ เจ้าของร้านทองตุ้นเฮงหลี ตั้งอยู่บนถนนพระราม 6 ในเขตเทศบาลนครตรัง ซึ่งถือเป็นร้านทองที่ใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง โดยมีทั้งหมด 3 สาขา เปิดเผยว่า หลังจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนขึ้นไปแตะอยู่ที่บาทละ 18,400 บาท สำหรับทองคำรูปพรรณ ทำให้ภาพรวมของการซื้อและการขายทองคำในแต่ละวัน กลับซบเซาและเงียบเหงาเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากทองคำที่จะขายออกก็ขายไม่ได้ เพราะราคาสูง หรือมีการลดปริมาณการซื้อให้เพียงพอกับค่าเงินที่มีอยู่ ส่วนการรับซื้อหรือซื้อเข้าก็มีน้อยมากเช่นเดียวกัน เพราะประชาชนบางส่วนแห่นำทองคำออกมาขายคืนจนหมด ตั้งแต่ราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นที่บาทละ 15,000-16,000 บาท เนื่องจากในช่วงนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นถึงบาทละ 18,000 บาท ทำให้ในแต่ละวันทางร้านมียอดลดลงเกินกว่า 50%
จากสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ถือว่า เป็นไปตามการเก็งกำไรของตลาดโลก ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อยอดการจำหน่ายทองคำที่แท้จริง เนื่องจากทองคำเป็นเครื่องประดับที่ประชาชนให้ความนิยมสูงสุด และมีความต้องการในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น จากสถานการณ์การซื้อขายทองที่ซบเซา เชื่อว่าน่าจะมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน และเศรษฐกิจที่ยังคงย่ำแย่อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งหากเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น แม้ราคาทองคำจะพุ่งสูงเพียงใด ประชาชนก็ยังมีกำลังซื้อ และภาวะการซื้อขายทองคำก็จะไม่ซบเซาเช่นนี้อย่างแน่นอน
สำหรับในช่วงของเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งปกติทองคำจะเป็นของขวัญชิ้นงามที่ประชาชนจะเลือกซื้อเพื่อมอบให้แก่คนที่รัก แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เชื่อว่าประชาชนจะหันไปหาซื้อของขวัญอย่างอื่นแทนทองคำ ซึ่งร้านทองแต่ละร้านคงต้องทำใจรับสภาพที่จะเกิดขึ้น และยังได้เพิ่มมาตรการเข้มในการตรวจดูทองคำที่รับซื้อ หรือรับจำนำ เพื่อป้องกันทองปลอมที่มีแก๊งออกอาละวาดอยู่ในหลายพื้นที่ รวมทั้งการติดตามข่าวสารของแก๊งฉกทอง เพื่อตรวจสอบใบหน้าและพฤติกรรมของเหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้ด้วย
