ปัตตานี – ผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ มีความคิดเห็นต้องการให้รัฐทำการจัดตั้งหน่วยงานถาวรดูแล และรับผิดชอบในกิจการฮัจญ์ให้เป็นไปอย่างมีระบบและต่อเนื่องเพื่อเป็นศักดิ์ศรีของประเทศ
วันนี้ (11 พ.ย.) นายอัสรี บินอับดุลเลาะห์ รองประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนอามานะศักดิ์ ผู้แสวงบุญชาวไทยจากจังหวัดปัตตานีที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ ได้ให้ความคิดเห็นถึงมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย
โดยให้ กระทรวงวัฒนธรรม และ ศอ.บต.ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงกลไกการบริหารด้านกิจการฮัจญ์ให้มีความโปร่งใส ป้องกันการหาประโยชน์โดยมิชอบจากผู้แสวงบุญ ว่า การจัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีแต่หน้าที่และภารกิจองค์กรแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เนื่องจากฮัจญ์ เป็นกิจการ หรือพิธีการในระดับโลกและทันทีเมื่อเข้าสู่เวทีโลกจะต้องมีการเปรียบเทียบกันในระหว่างประเทศ การบริหารจัดการและดูแลเตรียมการในกระบวนฮัจญ์ทั้งระบบจึงเป็นสิ่งที่จะสะท้อนให้มุสลิมจากทั่วโลกได้เห็นถึงการให้ความสำคัญของรัฐถือเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
หากการจัดระบบกระบวนการฮัจญ์เป็นไปอย่างดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจใดๆ กับโลกมุสลิม หรือ โอไอซี ดังนั้น การจัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย ควรจะต้องเป็นหน่วยงาน หรือองค์กรอิสระที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐให้ความสำคัญ และต้องมีกฏหมายรองรับ มีโครงสร้างการบริหารงาน มีบุคลากรที่จะบริหารงานอย่างชัดเจน สามารถเสนอจัดตั้งและขอ งบประมาณได้ด้วยตนเองเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง มิใช่เป็นหน่วยงานเฉพาะกิจทำงานกันปีละครั้ง หรือเพียงขึ้นตรงกับกระทรวงหนึ่งกระทรวงใด โดยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนี้จะต้องเป็นระดับเลขาธิการ เพื่อสร้างความเชื่อถือการเจรจาในนามประเทศไทยบนเวทีโลกของมุสลิม
ผู้สื่อข่าวยังได้รับรายงานมาว่า สำหรับปีนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ นายอนุชา หะระหนี ข้าราชการระดับ 7 ของกรมการศาสนา เป็นผู้แทนรัฐบาลในการดูแลการกำกับดุแลการดำเนินการเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ที่เดินทางไปเป็นคณะทำงานในคณะกรรมการอามิรุ้ลฮัจญ์ ซึ่งไม่สมศักดิ์ศรีกับการทำงานในหน้าที่ระดับนานาชาติ ประกอบบุคคลผู้นี้ เคยมีคดี ในเรื่องของความไม่โปร่งใสในการทำงาน จนเป็นเหตุให้ ผู้แสวงบุญถูกลอยแพและมีที่พักอยู่ไกลสถานที่ประกอบศาสนกิจ (มีสยิดอัลฮาราม) เนื่องจากรับสินบนจากบริษัทจัดส่งผู้แสวงบุญ ในปี 2551 ด้วย และถูกสำนักงานป้องกันและประพฤติมิชอบในวงราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีอยู่ด้วย
วันนี้ (11 พ.ย.) นายอัสรี บินอับดุลเลาะห์ รองประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนอามานะศักดิ์ ผู้แสวงบุญชาวไทยจากจังหวัดปัตตานีที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้ ได้ให้ความคิดเห็นถึงมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย
โดยให้ กระทรวงวัฒนธรรม และ ศอ.บต.ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงกลไกการบริหารด้านกิจการฮัจญ์ให้มีความโปร่งใส ป้องกันการหาประโยชน์โดยมิชอบจากผู้แสวงบุญ ว่า การจัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีแต่หน้าที่และภารกิจองค์กรแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เนื่องจากฮัจญ์ เป็นกิจการ หรือพิธีการในระดับโลกและทันทีเมื่อเข้าสู่เวทีโลกจะต้องมีการเปรียบเทียบกันในระหว่างประเทศ การบริหารจัดการและดูแลเตรียมการในกระบวนฮัจญ์ทั้งระบบจึงเป็นสิ่งที่จะสะท้อนให้มุสลิมจากทั่วโลกได้เห็นถึงการให้ความสำคัญของรัฐถือเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
หากการจัดระบบกระบวนการฮัจญ์เป็นไปอย่างดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจใดๆ กับโลกมุสลิม หรือ โอไอซี ดังนั้น การจัดตั้งสำนักกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย ควรจะต้องเป็นหน่วยงาน หรือองค์กรอิสระที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐให้ความสำคัญ และต้องมีกฏหมายรองรับ มีโครงสร้างการบริหารงาน มีบุคลากรที่จะบริหารงานอย่างชัดเจน สามารถเสนอจัดตั้งและขอ งบประมาณได้ด้วยตนเองเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง มิใช่เป็นหน่วยงานเฉพาะกิจทำงานกันปีละครั้ง หรือเพียงขึ้นตรงกับกระทรวงหนึ่งกระทรวงใด โดยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนี้จะต้องเป็นระดับเลขาธิการ เพื่อสร้างความเชื่อถือการเจรจาในนามประเทศไทยบนเวทีโลกของมุสลิม
ผู้สื่อข่าวยังได้รับรายงานมาว่า สำหรับปีนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ นายอนุชา หะระหนี ข้าราชการระดับ 7 ของกรมการศาสนา เป็นผู้แทนรัฐบาลในการดูแลการกำกับดุแลการดำเนินการเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ที่เดินทางไปเป็นคณะทำงานในคณะกรรมการอามิรุ้ลฮัจญ์ ซึ่งไม่สมศักดิ์ศรีกับการทำงานในหน้าที่ระดับนานาชาติ ประกอบบุคคลผู้นี้ เคยมีคดี ในเรื่องของความไม่โปร่งใสในการทำงาน จนเป็นเหตุให้ ผู้แสวงบุญถูกลอยแพและมีที่พักอยู่ไกลสถานที่ประกอบศาสนกิจ (มีสยิดอัลฮาราม) เนื่องจากรับสินบนจากบริษัทจัดส่งผู้แสวงบุญ ในปี 2551 ด้วย และถูกสำนักงานป้องกันและประพฤติมิชอบในวงราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีอยู่ด้วย