สงขลา –ประธานสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชี้เหตุที่มาของการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง มาจากความขัดแย้งด้านการเมืองท้องถิ่น ควบคู่กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดึงประชาคมโลกเข้าแทรกแซง
วันนี้ (14 ต.ค.) นายอาซิส เบญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สส.จชต.) เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายยังคงก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยมีเป้าหมายยังเป็นกลุ่มข้าราชการและราษฎรที่ให้ความร่วมมือกับรัฐ เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง และต้องการกดดันชาวไทยพุทธออกนอกพื้นที่
นายอาซิสกล่าวต่อถึงสาเหตุของการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบว่า ส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งส่วนตัว โดยเฉพาะความขัดแย้งด้านการเมืองท้องถิ่น ซึ่งมาจากการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทำให้ผู้ก่อการร้ายได้อาศัยเวลาในช่วงการเลือกตั้งในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
“ที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ เกิดจากการยืมมือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงลอบสังหารคู่แข่งทางการเมือง และยังคงพยายามก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ควบคู่กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยใช้วิธีการสร้างกระแสข่าวในเชิงลบ ต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เพื่อให้ประชาคมโลกหันมาสนใจ อันนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงกดดันกระบวนการแก้ ไขปัญหาของไทยในขั้นตอนต่อไป” นายอาซิสกล่าว
วันนี้ (14 ต.ค.) นายอาซิส เบญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สส.จชต.) เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายยังคงก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยมีเป้าหมายยังเป็นกลุ่มข้าราชการและราษฎรที่ให้ความร่วมมือกับรัฐ เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง และต้องการกดดันชาวไทยพุทธออกนอกพื้นที่
นายอาซิสกล่าวต่อถึงสาเหตุของการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบว่า ส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งส่วนตัว โดยเฉพาะความขัดแย้งด้านการเมืองท้องถิ่น ซึ่งมาจากการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทำให้ผู้ก่อการร้ายได้อาศัยเวลาในช่วงการเลือกตั้งในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
“ที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ เกิดจากการยืมมือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงลอบสังหารคู่แข่งทางการเมือง และยังคงพยายามก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ควบคู่กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยใช้วิธีการสร้างกระแสข่าวในเชิงลบ ต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เพื่อให้ประชาคมโลกหันมาสนใจ อันนำไปสู่การเข้ามาแทรกแซงกดดันกระบวนการแก้ ไขปัญหาของไทยในขั้นตอนต่อไป” นายอาซิสกล่าว
