พัทลุง - หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุงเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 ขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 เพื่อให้เป็นหลักฐานประกอบการช่วยเหลือจากรัฐบาลและไม่ให้มีการสวมสิทธิ์เกิดขึ้นเผยการสวมสิทธิ์ ส่วนใหญ่จะเอาข้าวของประเทศเวียดนาม
วันนี้ (17ก.ย.) นายอัครเดช จันทรัตน์ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 ขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 เพื่อให้เป็นหลักฐานประกอบการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทราบจำนวนเกษตรกร พื้นที่ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด
อีกทั้งเพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการสวมสิทธิเกษตรกรในการรับการช่วยเหลือจากโครงการของรัฐ จึงขอให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ติดต่อขอขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานเกษตรทุกอำเภอ ในวัน และเวลาราชการ หรือที่ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล หรือจุดนัดหมาย พร้อมนำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารสิทธิ์ที่ดิน หรือเอกสารการเช่าที่ดิน และหลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.02)
นายอัครเดช กล่าวอีกว่า การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ในปีนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนการปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 3 ชนิด ของกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จังหวัดพัทลุงมีเฉพาะข้าวนาปีเท่านั้น
ในการขึ้นทะเบียนมีแหล่งข่าวจากเจ้าของโรงสี เปิดเผยว่า การสวมสิทธิ์ข้าวที่ผ่านมา โดยนำเอาข้าวที่ผ่านมาจากชายแดนไทย พม่า กัมพูชา ตันละ 6,000 – 7,000 บาท โดยกลุ่มที่สวมสิทธิ์ จะเป็นกลุ่มใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ชั้นผู้น้อยรับทราบ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะทำเป็นขบวนการใหญ่
“การสวมสิทธิ์ข้าวที่ผ่านมาเกิดขึ้นที่ภาคอื่น ๆ มาก เช่น ภาคกลาง โดยเอาข้าวเปลือกเข้าไปสวมสิทธิ์ ส่วนใหญ่จะเอาข้าวของประเทศเวียดนาม นอกนั้นก็เป็นของประเทศพม่า จะเข้าทางจังหวัดหนองคาย มุกดาหาร ปราจีนบุรี และ แม่ฮ่องสอน เป็นต้น”
วันนี้ (17ก.ย.) นายอัครเดช จันทรัตน์ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 ขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 เพื่อให้เป็นหลักฐานประกอบการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทราบจำนวนเกษตรกร พื้นที่ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด
อีกทั้งเพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการสวมสิทธิเกษตรกรในการรับการช่วยเหลือจากโครงการของรัฐ จึงขอให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ติดต่อขอขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานเกษตรทุกอำเภอ ในวัน และเวลาราชการ หรือที่ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล หรือจุดนัดหมาย พร้อมนำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารสิทธิ์ที่ดิน หรือเอกสารการเช่าที่ดิน และหลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.02)
นายอัครเดช กล่าวอีกว่า การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ในปีนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนการปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 3 ชนิด ของกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จังหวัดพัทลุงมีเฉพาะข้าวนาปีเท่านั้น
ในการขึ้นทะเบียนมีแหล่งข่าวจากเจ้าของโรงสี เปิดเผยว่า การสวมสิทธิ์ข้าวที่ผ่านมา โดยนำเอาข้าวที่ผ่านมาจากชายแดนไทย พม่า กัมพูชา ตันละ 6,000 – 7,000 บาท โดยกลุ่มที่สวมสิทธิ์ จะเป็นกลุ่มใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ชั้นผู้น้อยรับทราบ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะทำเป็นขบวนการใหญ่
“การสวมสิทธิ์ข้าวที่ผ่านมาเกิดขึ้นที่ภาคอื่น ๆ มาก เช่น ภาคกลาง โดยเอาข้าวเปลือกเข้าไปสวมสิทธิ์ ส่วนใหญ่จะเอาข้าวของประเทศเวียดนาม นอกนั้นก็เป็นของประเทศพม่า จะเข้าทางจังหวัดหนองคาย มุกดาหาร ปราจีนบุรี และ แม่ฮ่องสอน เป็นต้น”