ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัด 2009 ในจังหวัดสงขลา ประชาชนตื่นตระหนก ถามหาวัคซีนป้องกัน สาธารณสุขจังหวัด เร่งลงพื้นที่ควบคุมการระบาด ล่าสุด ยืนยันผู้ป่วย 50 ราย ทุกรายหายเป็นปกติและไม่มีผู้เสียชีวิต
สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนใน จ.สงขลา มากขึ้น โดย นายแพทย์ สุเทพ วัชรปิยานันท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขณะมีประชาชนสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในสถานบริการสาธารณสุข จ.สงขลา เป็นจำนวนมาก จึงได้ให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทุกอำเภอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใช้ในประเทศใด เนื่องจากเป็นวัคซีนตัวใหม่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตและทดลองใช้ ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้ไทยจะได้รับวัคซีนมาใช้ ส่วนวัคซีนที่ให้บริการแก่ประชาชนในสถานบริการสาธารณสุขปัจจุบันเป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงลงพื้นที่ตามแหล่งชุมชนเช่นศูนย์การค้าและโรงเรียนต่างๆ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือฆ่าเชื้อ
สำหรับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ใน จ.สงขลา จนถึงวันที่ 17 กรกฎาคม มีผู้ป่วยยืนยัน 50 ราย อยู่ในกลุ่มอายุ 11-20 ปีสูงที่สุดร้อยละ 50 รองลงมากลุ่มอายุ 21-30 ปี ร้อยละ 20 แต่ทุกรายหายเป็นปกติไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคอย่างต่อเนื่องต่อไป
สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนใน จ.สงขลา มากขึ้น โดย นายแพทย์ สุเทพ วัชรปิยานันท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขณะมีประชาชนสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในสถานบริการสาธารณสุข จ.สงขลา เป็นจำนวนมาก จึงได้ให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทุกอำเภอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใช้ในประเทศใด เนื่องจากเป็นวัคซีนตัวใหม่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตและทดลองใช้ ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้ไทยจะได้รับวัคซีนมาใช้ ส่วนวัคซีนที่ให้บริการแก่ประชาชนในสถานบริการสาธารณสุขปัจจุบันเป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงลงพื้นที่ตามแหล่งชุมชนเช่นศูนย์การค้าและโรงเรียนต่างๆ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือฆ่าเชื้อ
สำหรับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ใน จ.สงขลา จนถึงวันที่ 17 กรกฎาคม มีผู้ป่วยยืนยัน 50 ราย อยู่ในกลุ่มอายุ 11-20 ปีสูงที่สุดร้อยละ 50 รองลงมากลุ่มอายุ 21-30 ปี ร้อยละ 20 แต่ทุกรายหายเป็นปกติไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคอย่างต่อเนื่องต่อไป
