สุราษฎร์ธานี - ตำรวจภูธรภาค 8 รวบ 4 เอเยนต์ค้ายาบ้ารายใหญ่ ได้ผู้ต้องหา 4 ราย พร้อมของกลางเกือบ 7,000 เม็ด อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก สอบสวนรับสารภาพลอบจำหน่ายมานานร่วม 9 ปี รับมาจากพ่อค้าจังหวัดพะเยา
วันนี้ (28 เม.ย.) พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ร่วมกับ นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี แถลงผลการจับกุมตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด หลังจาก พ.ต.อ.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รอง ผบก.หัวหน้าศูนย์สืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 8 พ.ต.อ.สมยส แก้วบังเกิด ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ศสส.ภาค 8 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้ผู้ต้องหา 4 ราย ประกอบด้วย นายนิคม หรือต้อย สัมพันธ์ อายุ 54 ปี, นายสังข์สรรค์ หรือพระสังข์ จินดาวงศ์ อายุ 28 ปี,นายวรรนพ หรือป๋อม พานทอง อายุ 25 ปี และ น.ส.ธนิสร หรือแจ๊ส ปานศรี อายุ 23 ปี เอเย่นต์ค้ายาบ้ารายใหญ่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 7,290 เม็ด, อาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวน 14 นัด, อาวุธปืนพกลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด, สมุดบันทึกรายการจำหน่ายยาบ้าให้ลูกค้า 4 เล่ม, เงินสดจำนวน 70,000 บาท จับกุมได้ขณะที่ผู้ต้องหากำลังนั่งดื่มเบียร์ภายในบ้านเลขที่ 11 ต.พระแสง อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี
หลังมีการร้องเรียนไปยังนายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงจึงประสานงานให้ ศูนย์สืบสวนสอบสวนภาค 8 เข้าติดตามสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นเครือข่ายค้ายาบ้ามานานแล้ว ซึ่งมีเครือข่ายทั้งหมด 13 คน โดยมี นายนิคม หรือต้อย สัมพันธ์ อายุ 54 ปี เป็นหัวหน้าแก๊ง โดยลักลอบค้ายาบ้ามานานร่วม 9 ปี ส่งขายในพื้นที่ อ.บ้านตาขุน
ทั้งนี้ ระหว่างการจับกุมผู้ต้องหารับสารภาพ และให้การว่าของกลางยาบ้าบางส่วนใส่ขวดกาแฟที่เป็นขวดแก้วบรรจุยาบ้าฝังไว้ใกล้บ้านของนายนิคม หรือต้อย เจ้าหน้าที่จึงไปขุดพบ จนได้ของกลางทั้งหมดดังกล่าว นายนิคม ยังระบุว่า ได้สั่งซื้อยาบ้ามาจากนายแดง อยู่จังหวัดพะเยา โดยมีนายบิดนำยาบ้าลงมาครั้งละ 100 มัด หรือจำนวน 200,000 เม็ด ส่งให้เอเย่นต์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียง
เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการ ของผู้ต้องหารวม 11 รายการ อาทิ รถจักรยานยนต์ 3 คัน เงินสด เครื่องเล่นวีซีดี สร้อยคอทองคำ สมุด ไปตรวจสอบว่าได้มาจากการจำหน่ายยาบ้าหรือไม่ และตรวจสอบขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
