นครศรีธรรมราช - หมอบัญชา ปัดปั่นราคาลูกปัดสุริยเทพ ลั่นไม่ขายแน่นอน แนะสังคมศึกษาองค์ความรู้ที่มา-เตรียมย้ายจัดนิทรรศการต่อที่นครศรีธรรมราช
วันนี้ (12 มี.ค.) ภายหลังจากที่มีการส่งคืนลูกปัดหน้าคน หรือลูกปัดสุริยเทพ มายังสยามมิวเซียมผ่านทางไปรษณีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นพ.บัญชา พงศ์พาณิช ในฐานะเจ้าของลูกปัดดังกล่าวได้เปิดแถลงข่าวที่พิพิธภัณฑ์เมือง เทศบาลนครนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ลูกปัดทั้งหมดที่มีการจัดแสดงนั้น ที่ทำขึ้นเพราะเป็นภาคใต้ และลูกปัดเหล่านี้เกิดขึ้นที่ภาคใต้ มีการขุดหากัน 40-50 ปีมาแล้ว หายไปหมด จึงตัดสินใจเก็บรวบรวมเพื่อจัดนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์
ทั้งหมดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ย้อนไปได้ถึง 2 พันปี และอาจจะเป็นร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนาที่เก่าที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ด้วยซ้ำไป การจัดแสดงนั้นจะสิ้นสุดในปลายเดือนมิถุนายน และสถาบันมีแผนต่อว่าจะสัญจรไปต่างจังหวัด จึงยื่นเงื่อนไขว่า ต้องมาที่นครศรีธรรมราช เท่านั้น ขณะนี้มีการเตรียมการที่จะจัดนิทรรศการที่นครศรีธรรมราชราวเดือนกรกฎาคม โดยจะยกเอานิทรรศการที่มิวเซียมสยามทั้งหมดมาไว้ที่นี่
นพ.บัญชา กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุของหายขอบอกอย่างตรงไปตรงมา คือ ต้องเป็นบทบาทของมิวเซียมสยามในการดำเนินการ การชี้แจงของตนเองเป็นส่วนประกอบเท่านั้น แต่หลังจากกลับมาถึงนครศรีธรรมราช ได้รับโทรศัพท์จากมิวเซียมสยาม ว่า ได้คืนแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามาในซองจดหมาย จ่าหน้าถึงมิวเซียมสยาม ห่อด้วยทิชชูในถุงพลาสติก
และมีจดหมายแนบมาด้วยทำนองขอโทษ ซึ่งตำรวจขอให้พิสูจน์ยืนยันว่าเป็นชิ้นเดียวกันหรือไม่ แต่จากภาพที่มีอยู่เดิมรูปพรรณสัณฐานตำหนิเหมือนกัน เชื่อว่า น่าจะเป็นชิ้นเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องการคำตอบอย่างเป็นทางการจากผู้ที่ดูแลรักษาไว้ และได้แจ้งไปแล้วว่าขอให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยพิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง
ต่อข้อถามถึงการหายไปจนได้คืนมา ดูเหมือนว่าจะง่ายเกินไปหรือไม่ นพ.บัญชา กล่าวว่า ต้องดูว่าหายด้วยเหตุใด มีการตั้งสมมติฐานว่ามีใบสั่งหรือไม่ แต่เมื่อมีการตรวจสอบมีการตัดประเด็นไปหลายประเด็น และทุกฝ่ายได้ติดตามอย่างจริงจัง เพราะอยู่ในความสนใจ และตร.เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องของใบสั่งอาจจะเป็นคนมือบอน เนื่องจากมาตรการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างรัดกุม แต่มีการเปิดเอาไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั้นคือ จุดอ่อนแรก
“ส่วนประเด็นข้อสังสัยที่ว่าจะเป็นการสร้างฉากหรือไม่นั้น สำหรับผมขอบอกว่าการเก็บของเหล่านี้ไม่มีขายไว้อย่างเด็ดขาด และถ้าเก็บไว้ขายนั้นผมไม่เปิดเผย และผมเปิดเผยหมดคนที่เข้าไปรู้ว่าผมมีอะไรบ้าง มีกี่ชิ้นมีทะเบียนเท่าไหร่ การปั่นราคาไม่รู้ว่าใครทำแต่ไม่ใช่ผม แต่ผมมั่นใจที่ตำรวจบอกว่าน่าจะเป็นคนมือบอนมาฉกเอาไป
การกลับมาทำไมได้กลับมาเร็วในความรู้สึกนั้น ผมได้บอกทุกฝ่ายตลอดมาว่าอย่าไปสนใจเรื่องราคามูลค่าให้ไปสนใจที่คุณค่าของมัน การพูดเช่นนี้อาจจะมองว่ายิ่งทำให้เห็นว่ามันมีความหมายสำคัญอย่างไร แต่ผมต้องการไม่ให้ติดมูลค่าของมัน ทุกคนที่รู้ว่าด้วยมูลค่าของมันและที่มีการยืมไปนั้นไม่ได้มากมายอะไร มูลค่าไม่ได้สูงอย่างที่คิดปั่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกราคาประเมินนั้นอยู่ที่เรือนแสน และจริงๆ แล้วเท่าที่ทราบนั้นลูกปัดนี้อยู่ประมาณนั้น หลังจากมีข่าวไม่ทราบว่าขึ้นหรือไม่ แต่ส่วนตัวของผม ผมไม่ขายแน่” นพ.บัญชากล่าว
นพ.บัญชา พงศ์พาณิช เจ้าของลูกปัดสุริยเทพ หรือลูกปัดหน้าคนรายนี้ยังกล่าวต่อว่า ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นสรุปได้ว่าการหายนั้นมีการหายจริง และอันต่อมาคือไม่มีการทำราคาอย่างแน่นอน และตนไม่ขายแน่ เชื่อว่า ทุกคนก็รู้จักผมดีพอ ว่าตนเป็นอย่างไร
“ส่วนการกลับคืนมาได้อย่างไรนั้นผมบอกว่าต้องช่วยกันให้ได้คืนมาให้ได้ สพร.เตรียมที่จะชดใช้คืนให้ผมด้วยซ้ำผมบอกว่า ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ขอให้หากันดีกว่า และเมื่อถึงจุดหนึ่งสังคมให้ความสนใจกับมัน เราใส่ปัจจัยบวกเข้าไปมากมันก็มาก และใส่ลบมากมันก็ลบ การได้คืนมาของลูกปัดหน้าคนเม็ดนี้ เป็นการใส่ปัจจัยบวกของสังคมเข้าไป ดูได้จากจดหมายชิ้นนี้เห็นได้ว่าเขาระลึกบางอย่าง ทำทุกอย่างไม่ได้แล้วเอาไว้ทำไม
เมื่อคืนมาเป็นการกูเกียรติเมืองไทยได้เกียรติภูมิกลับมาสังคมดีใจที่ได้คืนมา ส่วนที่ตั้งข้อสงสัยแล้วไปไม่รู้จะว่าอย่างไร การได้คืนมาถือเป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนการที่จะมีอำนาจลี้ลับหรือไม่นั้นส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องนี้แต่เห็นว่าเป็นเรื่องของสวรรค์ในอกนรกในใจ และพลังบวกของสังคมที่ทำให้พลังลบของคนเอาไปต้องคืนมาและเมื่อส่งกลับมาเขาคงโล่งใจเป็นบ้าเป็นเลยและอยากเชิญชวนให้เขาปรากฏตัวมาก”
นพ.บัญชา ระบุอีกว่า ช่วงหายนั้นไม่นึกว่าเป็นชิ้นนี้ทุกคนนึกไปถึงลูกปัดทองคำหลากหลายรูปแบบรูปทรงที่จัดอยู่ในห้องโถงสุดท้าย ที่เก็บได้จากภาคใต้อยู่ที่นั่นทั้งหมด ตอบประวัติศาสตร์ได้เกือบทั่วโลก ภาคใต้มีคนคลั่งไคล้ลุกปัดตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14-15 และมีการค้าขายลุกปัดกันมาตั้งแต่โบราณรวมทั้งการผลิตที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว ทั้งหมดมีความหมายเยอะมาก
“เมืองนครศรีธรรมเองนั้นพิสูจน์ได้ว่าคนนครผูกพันกับลูกปัดมาเนิ่นนานที่ยอดพระบรมธาตุเจดีย์ อุดมไปด้วยลูกปัดน้ำค้าง เม็ดผลึกหินคานิลเลี่ยนสีแดง แกนกลางเท่ากับลุกหมากสุก ลุกปัดที่คนนครใช้ใช้หมายถึงสิ่งสูงสุดที่ทุกคนมุ่งหมาย หรือนิพพานที่ทุกคนอยากจะไปให้ได้ หลักฐานของการนิยมลุกปัดมีมาถึงทุกวันนี้” นพ.บัญชา กล่าว
วันนี้ (12 มี.ค.) ภายหลังจากที่มีการส่งคืนลูกปัดหน้าคน หรือลูกปัดสุริยเทพ มายังสยามมิวเซียมผ่านทางไปรษณีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นพ.บัญชา พงศ์พาณิช ในฐานะเจ้าของลูกปัดดังกล่าวได้เปิดแถลงข่าวที่พิพิธภัณฑ์เมือง เทศบาลนครนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ลูกปัดทั้งหมดที่มีการจัดแสดงนั้น ที่ทำขึ้นเพราะเป็นภาคใต้ และลูกปัดเหล่านี้เกิดขึ้นที่ภาคใต้ มีการขุดหากัน 40-50 ปีมาแล้ว หายไปหมด จึงตัดสินใจเก็บรวบรวมเพื่อจัดนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์
ทั้งหมดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ย้อนไปได้ถึง 2 พันปี และอาจจะเป็นร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนาที่เก่าที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ด้วยซ้ำไป การจัดแสดงนั้นจะสิ้นสุดในปลายเดือนมิถุนายน และสถาบันมีแผนต่อว่าจะสัญจรไปต่างจังหวัด จึงยื่นเงื่อนไขว่า ต้องมาที่นครศรีธรรมราช เท่านั้น ขณะนี้มีการเตรียมการที่จะจัดนิทรรศการที่นครศรีธรรมราชราวเดือนกรกฎาคม โดยจะยกเอานิทรรศการที่มิวเซียมสยามทั้งหมดมาไว้ที่นี่
นพ.บัญชา กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุของหายขอบอกอย่างตรงไปตรงมา คือ ต้องเป็นบทบาทของมิวเซียมสยามในการดำเนินการ การชี้แจงของตนเองเป็นส่วนประกอบเท่านั้น แต่หลังจากกลับมาถึงนครศรีธรรมราช ได้รับโทรศัพท์จากมิวเซียมสยาม ว่า ได้คืนแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามาในซองจดหมาย จ่าหน้าถึงมิวเซียมสยาม ห่อด้วยทิชชูในถุงพลาสติก
และมีจดหมายแนบมาด้วยทำนองขอโทษ ซึ่งตำรวจขอให้พิสูจน์ยืนยันว่าเป็นชิ้นเดียวกันหรือไม่ แต่จากภาพที่มีอยู่เดิมรูปพรรณสัณฐานตำหนิเหมือนกัน เชื่อว่า น่าจะเป็นชิ้นเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องการคำตอบอย่างเป็นทางการจากผู้ที่ดูแลรักษาไว้ และได้แจ้งไปแล้วว่าขอให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยพิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง
ต่อข้อถามถึงการหายไปจนได้คืนมา ดูเหมือนว่าจะง่ายเกินไปหรือไม่ นพ.บัญชา กล่าวว่า ต้องดูว่าหายด้วยเหตุใด มีการตั้งสมมติฐานว่ามีใบสั่งหรือไม่ แต่เมื่อมีการตรวจสอบมีการตัดประเด็นไปหลายประเด็น และทุกฝ่ายได้ติดตามอย่างจริงจัง เพราะอยู่ในความสนใจ และตร.เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องของใบสั่งอาจจะเป็นคนมือบอน เนื่องจากมาตรการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างรัดกุม แต่มีการเปิดเอาไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั้นคือ จุดอ่อนแรก
“ส่วนประเด็นข้อสังสัยที่ว่าจะเป็นการสร้างฉากหรือไม่นั้น สำหรับผมขอบอกว่าการเก็บของเหล่านี้ไม่มีขายไว้อย่างเด็ดขาด และถ้าเก็บไว้ขายนั้นผมไม่เปิดเผย และผมเปิดเผยหมดคนที่เข้าไปรู้ว่าผมมีอะไรบ้าง มีกี่ชิ้นมีทะเบียนเท่าไหร่ การปั่นราคาไม่รู้ว่าใครทำแต่ไม่ใช่ผม แต่ผมมั่นใจที่ตำรวจบอกว่าน่าจะเป็นคนมือบอนมาฉกเอาไป
การกลับมาทำไมได้กลับมาเร็วในความรู้สึกนั้น ผมได้บอกทุกฝ่ายตลอดมาว่าอย่าไปสนใจเรื่องราคามูลค่าให้ไปสนใจที่คุณค่าของมัน การพูดเช่นนี้อาจจะมองว่ายิ่งทำให้เห็นว่ามันมีความหมายสำคัญอย่างไร แต่ผมต้องการไม่ให้ติดมูลค่าของมัน ทุกคนที่รู้ว่าด้วยมูลค่าของมันและที่มีการยืมไปนั้นไม่ได้มากมายอะไร มูลค่าไม่ได้สูงอย่างที่คิดปั่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกราคาประเมินนั้นอยู่ที่เรือนแสน และจริงๆ แล้วเท่าที่ทราบนั้นลูกปัดนี้อยู่ประมาณนั้น หลังจากมีข่าวไม่ทราบว่าขึ้นหรือไม่ แต่ส่วนตัวของผม ผมไม่ขายแน่” นพ.บัญชากล่าว
นพ.บัญชา พงศ์พาณิช เจ้าของลูกปัดสุริยเทพ หรือลูกปัดหน้าคนรายนี้ยังกล่าวต่อว่า ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นสรุปได้ว่าการหายนั้นมีการหายจริง และอันต่อมาคือไม่มีการทำราคาอย่างแน่นอน และตนไม่ขายแน่ เชื่อว่า ทุกคนก็รู้จักผมดีพอ ว่าตนเป็นอย่างไร
“ส่วนการกลับคืนมาได้อย่างไรนั้นผมบอกว่าต้องช่วยกันให้ได้คืนมาให้ได้ สพร.เตรียมที่จะชดใช้คืนให้ผมด้วยซ้ำผมบอกว่า ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ขอให้หากันดีกว่า และเมื่อถึงจุดหนึ่งสังคมให้ความสนใจกับมัน เราใส่ปัจจัยบวกเข้าไปมากมันก็มาก และใส่ลบมากมันก็ลบ การได้คืนมาของลูกปัดหน้าคนเม็ดนี้ เป็นการใส่ปัจจัยบวกของสังคมเข้าไป ดูได้จากจดหมายชิ้นนี้เห็นได้ว่าเขาระลึกบางอย่าง ทำทุกอย่างไม่ได้แล้วเอาไว้ทำไม
เมื่อคืนมาเป็นการกูเกียรติเมืองไทยได้เกียรติภูมิกลับมาสังคมดีใจที่ได้คืนมา ส่วนที่ตั้งข้อสงสัยแล้วไปไม่รู้จะว่าอย่างไร การได้คืนมาถือเป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนการที่จะมีอำนาจลี้ลับหรือไม่นั้นส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องนี้แต่เห็นว่าเป็นเรื่องของสวรรค์ในอกนรกในใจ และพลังบวกของสังคมที่ทำให้พลังลบของคนเอาไปต้องคืนมาและเมื่อส่งกลับมาเขาคงโล่งใจเป็นบ้าเป็นเลยและอยากเชิญชวนให้เขาปรากฏตัวมาก”
นพ.บัญชา ระบุอีกว่า ช่วงหายนั้นไม่นึกว่าเป็นชิ้นนี้ทุกคนนึกไปถึงลูกปัดทองคำหลากหลายรูปแบบรูปทรงที่จัดอยู่ในห้องโถงสุดท้าย ที่เก็บได้จากภาคใต้อยู่ที่นั่นทั้งหมด ตอบประวัติศาสตร์ได้เกือบทั่วโลก ภาคใต้มีคนคลั่งไคล้ลุกปัดตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14-15 และมีการค้าขายลุกปัดกันมาตั้งแต่โบราณรวมทั้งการผลิตที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว ทั้งหมดมีความหมายเยอะมาก
“เมืองนครศรีธรรมเองนั้นพิสูจน์ได้ว่าคนนครผูกพันกับลูกปัดมาเนิ่นนานที่ยอดพระบรมธาตุเจดีย์ อุดมไปด้วยลูกปัดน้ำค้าง เม็ดผลึกหินคานิลเลี่ยนสีแดง แกนกลางเท่ากับลุกหมากสุก ลุกปัดที่คนนครใช้ใช้หมายถึงสิ่งสูงสุดที่ทุกคนมุ่งหมาย หรือนิพพานที่ทุกคนอยากจะไปให้ได้ หลักฐานของการนิยมลุกปัดมีมาถึงทุกวันนี้” นพ.บัญชา กล่าว