นครศรีธรรมราช - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมตัวแทน อสม.14 จังหวัดใต้ ชี้ ทุกคนต้องได้รับขวัญกำลังใจ 600 บาท ปรับยุทธศาสตร์สาธารณสุขป้องกันโรคเชิงรุกก่อนระบบรักษาพยาบาลวิกฤตหนัก
ที่โรงแรมทวินโลตัส อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันนี้ (20 ก.พ.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการจัดประชุมปฏิบัติการการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการสร้างขวัญกำลังใจของ อสม.ภาคใต้ ปี 2552 โดยมี ตัวแทน อสม.จาก 14 จังหวัดภาคใต้รวม 1,325 คน เข้าร่วมการประชุม
โดย นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการทำหน้าที่ของรัฐบาลว่าการเข้ามาเป็นรัฐครั้งที่แล้วเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 รัฐบาลเข้ามาบริหารงานภายใต้ข้อจำกัด มาครั้งนี้เข้ามาบริหารงานสานงานต่อเป็นรัฐบาลกับวิกฤติการณ์ที่หนักกว่าถึง 2 ประการ คือ 1.วิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นหลักที่ส่งผลกระเทือนไปทั่วโลกได้รับผลรุนแรง และ 2.วิกฤตด้านสังคมและการเมืองที่มีความขัดแย้งรุนแรงไม่มีแนวโน้มยุติเป็นความขัดแย้งทางสังคม รัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาบริหารท่ามกลางวิกฤตการณ์นี้
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ในส่วนของงานด้านสาธารณสุข รัฐบาลต้องดูแลประชาชนคนไทยทุกคนต้องได้รับการรักษาพยาบาลฟรีโดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้ตัวเลขผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวมากขึ้นทุกวันวิกฤติคนป่วยล้นโรงพยาบาลจึงค่อยรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
ขณะที่โรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลนทั้งแพทย์และพยาบาล อาคารผู้ป่วยที่รองรับ จากการขยายโอกาสการรักษาทำให้ประชาชนเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลมากกว่าซื้อยาจากสถานจำหน่ายยา และได้รับคำยืนยันจากผู้ประกอบการขายยายืนยันว่าการขายยานั้นลดลงตามลำดับ เดิมคนไทย 70 เปอร์เซ็นต์ซื้อยา และอีก 30 เปอร์เซ็นต์ไปพบแพทย์ตามสถานพยาบาล
“อย่างไรก็ตาม ความสามารถแพทย์ของประเทศไทยได้ก้าวหน้าขึ้นอยู่ในขีดความสามารถสูงได้รับความไว้วางใจจากชาวต่างชาตินิยมเข้ารักษาตัวกว่าปีละ 1.2 ล้านคน ขณะที่สังคมไทยนั้นกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างไม่รู้ตัวอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุสูงถึง 12-14 ล้านคน โดยเฉลี่ยมีอายุ 72 ปี แต่ที่น่ากลัว คือ พกโรคประจำตัวมาด้วยทั้งเบาหวาน หัวใจ และความดัน ขณะที่รัฐบาลต้องมีการรักษาพยาบาลฟรี และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวันที่อยู่ภายใต้วิกฤติ จึงไม่มีเวลาพอที่จะผลิตแพทย์พยาบาลได้เพียงพอ โครงการหลักประกันสุขภาพใช้เงินไปเพื่อการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถทำด้านอื่นได้มากนัก”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า งานสำคัญคือภาระของ อสม.ที่ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ด้วยเงิน 600 บาท แม้ว่าจะไม่ใช่เงินมากที่จะพอเรียกได้ว่าเป็นค่าตอบแทนแต่พอที่จะเป็นขวัญกำลังใจให้ อสม.ได้ ในเดือนเมษายนเป็นต้นไปหากยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ยืนยันว่า อสม.ทุกคนทั่วประเทศจะต้องได้รับเงินจำนวนนี้ และยืนยันว่า จะต้องจ่ายกันจนกว่าจะไปกันข้างหนึ่ง และหลังจากนี้ทุกคนจะต้องได้รับเงินและร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุขที่จะนำ อสม.ทั่วประเทศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงรุกในการป้องกันโรคให้กับประชาชนทั่วประเทศมากกว่าที่จะต้องเข้ามารักษาโรคในโรงพยาบาล ซึ่ง อสม.จะเป็นกำลังหลักสำคัญให้กับหลักประกันสุขภาพของประชาชนในประเทศไทยในอนาคต
ที่โรงแรมทวินโลตัส อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันนี้ (20 ก.พ.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการจัดประชุมปฏิบัติการการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการสร้างขวัญกำลังใจของ อสม.ภาคใต้ ปี 2552 โดยมี ตัวแทน อสม.จาก 14 จังหวัดภาคใต้รวม 1,325 คน เข้าร่วมการประชุม
โดย นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการทำหน้าที่ของรัฐบาลว่าการเข้ามาเป็นรัฐครั้งที่แล้วเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 รัฐบาลเข้ามาบริหารงานภายใต้ข้อจำกัด มาครั้งนี้เข้ามาบริหารงานสานงานต่อเป็นรัฐบาลกับวิกฤติการณ์ที่หนักกว่าถึง 2 ประการ คือ 1.วิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นหลักที่ส่งผลกระเทือนไปทั่วโลกได้รับผลรุนแรง และ 2.วิกฤตด้านสังคมและการเมืองที่มีความขัดแย้งรุนแรงไม่มีแนวโน้มยุติเป็นความขัดแย้งทางสังคม รัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาบริหารท่ามกลางวิกฤตการณ์นี้
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ในส่วนของงานด้านสาธารณสุข รัฐบาลต้องดูแลประชาชนคนไทยทุกคนต้องได้รับการรักษาพยาบาลฟรีโดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้ตัวเลขผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวมากขึ้นทุกวันวิกฤติคนป่วยล้นโรงพยาบาลจึงค่อยรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
ขณะที่โรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลนทั้งแพทย์และพยาบาล อาคารผู้ป่วยที่รองรับ จากการขยายโอกาสการรักษาทำให้ประชาชนเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลมากกว่าซื้อยาจากสถานจำหน่ายยา และได้รับคำยืนยันจากผู้ประกอบการขายยายืนยันว่าการขายยานั้นลดลงตามลำดับ เดิมคนไทย 70 เปอร์เซ็นต์ซื้อยา และอีก 30 เปอร์เซ็นต์ไปพบแพทย์ตามสถานพยาบาล
“อย่างไรก็ตาม ความสามารถแพทย์ของประเทศไทยได้ก้าวหน้าขึ้นอยู่ในขีดความสามารถสูงได้รับความไว้วางใจจากชาวต่างชาตินิยมเข้ารักษาตัวกว่าปีละ 1.2 ล้านคน ขณะที่สังคมไทยนั้นกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างไม่รู้ตัวอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุสูงถึง 12-14 ล้านคน โดยเฉลี่ยมีอายุ 72 ปี แต่ที่น่ากลัว คือ พกโรคประจำตัวมาด้วยทั้งเบาหวาน หัวใจ และความดัน ขณะที่รัฐบาลต้องมีการรักษาพยาบาลฟรี และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวันที่อยู่ภายใต้วิกฤติ จึงไม่มีเวลาพอที่จะผลิตแพทย์พยาบาลได้เพียงพอ โครงการหลักประกันสุขภาพใช้เงินไปเพื่อการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถทำด้านอื่นได้มากนัก”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า งานสำคัญคือภาระของ อสม.ที่ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ด้วยเงิน 600 บาท แม้ว่าจะไม่ใช่เงินมากที่จะพอเรียกได้ว่าเป็นค่าตอบแทนแต่พอที่จะเป็นขวัญกำลังใจให้ อสม.ได้ ในเดือนเมษายนเป็นต้นไปหากยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ยืนยันว่า อสม.ทุกคนทั่วประเทศจะต้องได้รับเงินจำนวนนี้ และยืนยันว่า จะต้องจ่ายกันจนกว่าจะไปกันข้างหนึ่ง และหลังจากนี้ทุกคนจะต้องได้รับเงินและร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุขที่จะนำ อสม.ทั่วประเทศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงรุกในการป้องกันโรคให้กับประชาชนทั่วประเทศมากกว่าที่จะต้องเข้ามารักษาโรคในโรงพยาบาล ซึ่ง อสม.จะเป็นกำลังหลักสำคัญให้กับหลักประกันสุขภาพของประชาชนในประเทศไทยในอนาคต