xs
xsm
sm
md
lg

กอ.รมน.เผยคดีคาร์บอมบ์สุคีรินคืบหน้า จับต้องสงสัยได้ 10 คน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยะลา - กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงความคืบหน้าการจับกุมคนร้ายลอบวางระเบิดที่ซุกซ่อนมากับรถยนต์ หวังสังหารหมู่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่อำเภอสุคีริน เมื่อ 4 พ.ย.51 ซึ่งจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วจำนวน 10 คน

พ.อ.ปริญญา ฉายดิลก หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงความคืบหน้าการจับกุมคนร้ายลอบวางระเบิดที่ซุกซ่อนมากับรถยนต์ ในพื้นที่ อ.สุคิริน เพื่อหวังสังหารหมู่กำนันผู้ใหญ่บ้านที่มาร่วมประชุมในวันนั้น จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 70 ราย เมื่อวันที่ 4 พ.ย.51 ที่ผ่านมานั้นว่า จากการสืบสวนสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการเก็บหลักฐาน วัตถุพยานและพยานบุคคล สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวน 10 คน และ 1 ใน 10 ผู้ต้องสงสัย คือ นายตูรีดี มะดง

จากการดำเนินกรรมวิธีซักถาม นายตูรีดี ได้ให้การรับสารภาพว่า เมื่อปี 2545 ได้ผ่านพิธีซูมเปาะจากอาจารย์สอน ร.ร.ตาดีกา และเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีชื่อในพื้นที่ ได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการจากเพื่อนนักศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัยเดียวกัน โดยนายตูรีดียอมรับว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบหลายเหตุการณ์

สำหรับเหตุการณ์ที่สุคีริน มีหน้าที่เป็นผู้กดโทรศัพท์จุดชนวนระเบิด โดยมีนายต่วนแซะ ต่วนกือจิ เป็นผู้วางแผน ก่อนเกิดเหตุได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มาประชุมส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวมุสลิม แต่นายต่วนแซะได้อธิบายว่าไม่ขัดต่อหลักศาสนาจึงได้ร่วมลงมือกระทำความผิด เหตุที่รับสารภาพเนื่องจากจำนนต่อพยานหลักฐานและวัตถุพยานที่ปรากฏ อีกทั้งมีความสงสารมารดา อยากยุติความเคลื่อนไหว

นอกจากนั้น นายตูรีดียังได้ให้ความร่วมมือกับทางราชการด้วยการพาเจ้าหน้าที่ไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและไปตรวจค้นซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ในการก่อเหตุ พร้อมให้ถ้อยคำซัดทอดถึงผู้ร่วมขบวนการตามข้อเท็จจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการต่อไป

พ.อ.ปริญญา ฉายดิลก กล่าวอีกว่า การนำไปผ่านพิธีซูมเปาะ หรือการอ้างว่าไม่ผิดต่อหลักการทางศาสนานั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงขอฝากข้อคิดไปยังเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป อย่าหลงเชื่อในการชักชวนเข้าร่วมขบวนการของกลุ่มก่อความไม่สงบ เนื่องจากวิถีทางดังกล่าว เป็นการสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน และก่อให้เกิดความไม่สงบให้กับพี่น้องชาวมุสลิมด้วยกันเอง และไม่ใช่วิถีที่จะนำพาสันติสุขให้คืนมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น